ฝันยิ่งใหญ่ของผู้พิการ ‘ปั่นไปไม่ทิ้งกัน’ 15 จังหวัด 1,500 กิโลเมตร

แม้ว่าโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี 2” ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าคนตาบอดและคนตาดีกว่า 70 ชีวิต ที่ปั่นจักรยานเดินทาง 14 วัน 15 จังหวัด รวมระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร เพื่อระดมเงินทุนจำนวน 118 ล้านบาท สร้าง “ศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม จะจบลงไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ทว่าภารกิจของ “มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ” ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกิจกรรมนี้ ดูเหมือนจะยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากยอดเงินบริจาคจำนวนกว่า 6 ล้านบาท ที่ได้รับมาในปีนี้ ถือว่ายังห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ กลับมองว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการปลุกกระแสสังคมให้เห็นถึงศักยภาพของผู้พิการ เปลี่ยนมุมมองทัศนคติที่มีต่อผู้พิการเสียใหม่

เหนือสิ่งอื่นใดคือ การได้สัมผัสถึงน้ำใจงดงามของพี่น้องชาวไทยที่หยิบยื่นให้แก่ผู้พิการ ตรงตามเจตนารมณ์ของโครงการที่ว่า “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” อันนำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “สังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนทุกระดับมีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตัวเองได้

ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ กล่าวว่า แม้ยอดบริจาคจะได้ไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าล้มเหลวแต่อย่างใด ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ ในแง่ของการประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนแต่ละจังหวัดได้ตระหนักถึงสิทธิคนพิการ รวมทั้งรับรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี 2

Advertisement

“โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน ปี 1 ได้ยอดบริจาคทั้งหมด 32 ล้านบาท ซึ่งส่วนมากได้มาจากผู้บริจาครายใหญ่ เช่น บริษัทคิงเพาเวอร์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น นอกนั้นมาจากเงินบริจาคของประชาชนในช่องทางต่างๆ เราต้องเข้าใจว่าผู้บริจาครายใหญ่ไม่สามารถบริจาคเงินให้ได้ตลอดทุกปี ดังนั้นปีนี้เราจึงพุ่งเป้าไปที่ผู้บริจาครายย่อย โดยจัดทำแผ่นพับเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน ปี 2 ตั้งทีมปั่นพุ่มผ้าป่า หรือ

Advertisement

‘กลุ่มสะพานบุญ’ ปั่นจักรยานลงพื้นที่ไปตามชุมชน ตลาด ย่านการค้าต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัด เพื่อรณรงค์สิทธิคนพิการ และประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้ แม้ว่าจะได้เงินจำนวนน้อย เฉลี่ยคนละ 20 บาท 50 บาท หรือ 100 บาท แต่ถ้ามีคนบริจาคห้าร้อยคน พันคน หรือสองพันคน รวมแล้วก็จะถือว่าเป็นจำนวนมากทีเดียว สำหรับผมนั้นจำนวนเงินอาจไม่สำคัญเท่ากับเรื่องหัวใจ

การได้รับเงินบริจาครายย่อย ได้ประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในแง่การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ มูลนิธิสามารถเข้าถึงชุมชน เรียกว่าไปเยี่ยมเยียนถึงหน้าประตูบ้าน ในแง่ของการสร้างเจตคติที่สร้างสรรค์ต่อผู้พิการ ยามที่คณะ

นักปั่นปั่นไปตามท้องถนน ประกาศเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมบริจาคสมทบทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน สิ่งที่เราเห็นคือ ผู้คนหลากหลาย ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ ผู้สูงอายุ เจ้าของร้านทอง พ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนกวาดขยะ คนเข็นผัก คนพิการ

แม้กระทั่งคนไร้บ้าน ก็ยังมาบริจาคเงินทำบุญกับเรา แม้บางคนยากจนและมีเงินไม่มาก ทั้งหมดนี้สะท้อนว่ายังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่เต็มใจจะทำเพื่อส่วนรวม”

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีคนพิการทั่วประเทศที่จดทะเบียนจำนวน 2,022,481 คน (ร้อยละ 3.05 ของประชากรทั้งประเทศ) คนพิการที่อยู่ในวัยทำงาน (อายุ 15-60 ปี) จำนวน 877,853 คน ซึ่งมีคนพิการในวัยทำงานที่ประกอบอาชีพ จำนวน 218,490 คน (ร้อยละ 24.89) จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าจำนวนผู้พิการที่ทำงานได้ แต่ยังไม่มีงานทำเป็นจำนวนมากกว่า 6 แสนคน นับเป็นโจทย์ท้าทายว่าจะสามารถช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ให้มีอาชีพได้อย่างไร

“หลังจากนี้เราคงต้องวางแผนกันต่อไป ว่าจะทำอย่างไรเพื่อระดมเงินทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียนให้แล้วเสร็จตามที่ตั้งใจไว้ ผมเชื่อว่ามนุษย์เรานั้น ถ้าตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามให้แก่คนอื่น ธรรมะจะจัดสรรให้เอง ขอให้เราทุ่มเทเต็มที่ ทำหน้าที่ของเราเต็มที่ ความสำเร็จเป็นเรื่องของการจัดสรร มันเป็นไปไม่ได้ถ้าเราทำเรื่องที่ดีงามให้คนอื่นแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ คติประจำใจของผมคือ ความสำเร็จ ไม่ช้าก็เร็วมันทันเวลาเสมอ ผมท่องในใจมาตลอด ธรรมะจัดสรรนั้น บางทีมันก็อาจจะช้ากว่าใจเราคิด บางทีก็เร็วกว่าใจเราคิด แต่มันก็จะเหมาะสมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสมอ ดังคำพูดที่ว่า ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นของพระเจ้า”

สำหรับโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี 2” มีคนตาบอดจำนวน 20 คน และอาสาสมัครตาดี 20 คน ร่วมกันปั่นจักรยาน จากกรุงเทพฯ ถึงศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ผ่าน 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี นครราชสีมา ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี และนครปฐม ระหว่างวันที่ 9 ถึง 22 กุมภาพันธ์ 2562 รวมทั้งสิ้น 14 วัน ระยะทางรวม 1,500 กิโลเมตร โดยแต่ละจังหวัดได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทยได้เห็นถึงศักยภาพของผู้พิการและให้โอกาสผู้พิการในการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นพลังในการสร้างสรรค์สังคมต่อไปในอนาคต

ธิดารัตน์ สวนมะลิ ชาวกรุงเทพฯ อายุ 62 ปี อาชีพนวดแผนโบราณ อีกหนึ่งนักปั่นผู้พิการทางสายตาที่เข้าร่วมโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี 2” เป็นครั้งแรก กล่าวว่า การปั่นจักรยาน 14 วัน 15 จังหวัด รวมระยะทาง 1,500 กิโลเมตร ทำให้รู้ว่ามนุษย์เรานั้นสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด สามารถเอาชนะข้อจำกัดทางด้านร่างกายได้ ถ้าใจสู้

“ปกติเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว เคยลงแข่งเดิน วิ่งมาราธอนด้วย แต่ไม่เคยปั่นจักรยานมาก่อน พอทางมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการชวนให้มาร่วมโครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน ปี 2 ก็สมัครทันที คิดว่าได้ออกกำลังกายด้วย อีกด้านหนึ่งก็ถือว่าไปช่วยเขาระดมเงินบริจาคเพื่อเอาไปสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการ เพราะตัวเราเองก็พิการ ตอนนี้เราเอาตัวรอดได้แล้ว มีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ ก็อยากทำอะไรเพื่อคนพิการคนอื่นๆ บ้าง เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาส ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่เป็นภาระแก่สังคม”

สำหรับโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind ปี 2” ระยะทาง 1,500 กิโลเมตร แม้ว่าจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ภารกิจระดมทุนสร้าง “ศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อันเปรียบเสมือนความฝันสูงสุดของเหล่าผู้พิการในประเทศไทย ยังคงต้องการการสนับสนุนจากประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถบริจาคเงินได้ตั้งแต่วันที่จนถึง 31 ธันวาคม 2562 เพื่อสร้างอาชีพให้คนพิการสามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างยั่งยืนและภาคภูมิใจในศักดิ์ศรี เปลี่ยน “ภาระ” ให้เป็น “พลัง” ในการพัฒนาและสร้างสรรค์สังคม ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนประเทศชาติให้ก้าวไปสู่ “สังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตามสโลแกน “No One Left Behind” เพื่อให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติในสังคมได้อย่างมีความสุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image