เจาะยุทธศาสตร์ สมัคร ป้องวงษ์ จากบุรุษไปรษณีย์ สู่เก้าอี้ ส.ส.สมุทรสาคร

นับเป็นอีกกรณีที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างยิ่ง สำหรับการออกมาแถลงข่าวของพรรคอนาคตใหม่ ที่เปิดเผยถึงขบวนการซื้องูเห่าในพรรค ด้วยเม็ดเงินที่สูงถึง 120 ล้านบาท ต่อหัว

ย้อนดูต้นตอกรณีนี้ จุดเริ่มต้นมาจากการที่ สมัคร ป้องวงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จ.สมุทรสาคร พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกเสนอเงินจำนวน 20 ล้านบาท ออกมาแฉเรื่องดังกล่าว จนเป็นประเด็นลากยาวมาถึงวันนี้

ทว่า เรื่องราวของชายวัยเกษียณผู้นี้ไม่ธรรมดา สมัคร เกิดที่ จ.อุบลราชธานี แต่ย้ายรกรากมาอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่ปี 2512 ถือวุฒิ ม.3 เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นบุรุษไปรษณีย์ขับเรือหางยาวนำจ่ายจดหมาย สู่ผู้ช่วยผู้บริหารระดับต้น ในปี 2532 จากชั้นประทวน ขวนขวายจนเป็นผู้บริหาร นายไปรษณีย์ระดับ 8

เป็นประธานสหภาพแรงงานภูมิภาค 7 ใน 8 จังหวัด เขตภาคตะวันตก และเป็นชุดคณะกรรมการ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จากการเข้าไปอยู่ในกระบวนการแรงงาน ทำให้มีประสบการณ์ด้านการเมือง ทั้งการต่อสู้เรียกร้อง ปกป้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ค้นตัวเองจนรู้ว่าเป็นคนที่มุ่งมั่นเรื่องอุดมการณ์ มุ่งหน้าขวนขวายศึกษาต่อ จนสำเร็จปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์การเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

Advertisement

นี่คือเรื่องราวหลังวัยเกษียณของชายใจกล้า ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองมีหวังว่าจะหันกลับมาสู่ระบอบประชาธิปไตย

เข้าสู่สนามการเมืองได้อย่างไร?

เริ่มจาก มี 3 พรรค มาติดต่อที่บ้านว่าอยากจะเล่นการเมืองไหม มีแนวนโยบาย มีเงื่อนไขมาให้เลือก ทีแรกก็ตกใจว่าจะให้ผมเล่น ส.ส.เลยหรือ (หัวเราะ) ผมบอกว่าผมคงไม่มีทุนอะไรจะไปต่อสู้ระดับนั้น เราเป็นข้าราชการเกษียณตัวเล็กๆ มีทุนเหลือไว้ใช้จ่ายช่วงบั้นปลายไม่กี่มากน้อย คงไม่มีปัญญาที่จะเอาทรัพย์ที่สะสมมาทั้งชีวิตมาเล่นการเมือง แต่พออ่านดูเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละพรรค มาสะดุดพรรคอนาคตใหม่ ในนั้นไม่มีคำว่า ต้องมีทุน หรือลงทุน และอุดมการณ์โชว์ขึ้นมาชัดเจนว่าเรามาเริ่มต้นกันจุดนี้ดีไหม จุดที่บอกว่า ลดความเหลื่อมล้ำ ทลายทุนผูกขาด

นี่คือจุดที่ทำให้ตัดสินใจเลือกอนาคตใหม่?

จากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองมาพอสมควร เรื่องความทุกข์ยาก และความเหลื่อมล้ำของประชาชนกินใจเรามาก จุดนี้คือแรงจูงใจ อีกข้อคือเรื่องเงิน ซึ่งก็เข้าทางเรา ทั้งนโยบายและทรัพย์ที่มีอยู่ ผลแพ้ชนะไม่ว่ากัน แพ้ก็เท่าทุน เพราะเราต้นทุนต่ำ แค่ลงแรง ใช้อุดมการณ์ ใช้ทรัพยากรเท่าที่มี มีภรรยา เพื่อนฝูงที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาช่วยกันสร้าง

Advertisement

ตอนที่ลงเลือกตั้ง คนที่รู้จักงงไหม?

เขาตกใจ บอก หือ! ไปรษณีย์จะเอาขนาดนั้นเลยหรือ (หัวเราะ) ตัวเราก็ตกใจมาก่อนอยู่แล้วช่วงที่โดนทาบทาม พอเขาหายตกใจ เริ่มคุยกันว่า ผมเกษียณแล้วยังคลั่งวิชาอยู่ เพราะเรียนมาเยอะแต่ยังไม่ได้ใช้ศาสตร์ตรงนั้น ผมขอนุญาตเต้นอีกสักเที่ยวได้ไหม อยากจะเทสต์สมองของตัวเองที่เรียนรู้มาว่าจะทำคุณประโยชน์อะไรให้กับพื้นถิ่นได้บ้าง ก็แนะนำไปประมาณนี้ก่อน และมาคุยเรื่องนโยบายและทิศทางพรรค ว่าเขาจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงยังไง อธิบายให้ฟังเป็นทอดๆ ด้วยความเป็นกันเองที่มีอยู่แล้ว เราได้เห็นความทุกข์ยาก ความต้องการของเขาจริงๆ ได้แก่นแท้ออกมาในลักษณะสนทนาปรับทุกข์ แล้วเอาจุดนั้นมาวางไว้ตรงกลางว่า ทีนี้คุณป้าไม่ลง คุณลุงไม่ลงเอง แต่ผมอาสา ให้ผมถือธงนำไปก็แล้วกัน ป้ารอดูผมทำงาน เขาบอกโอเค ลองไปรษณีย์ดูสักครั้งสิ มันจะเป็นยังไง ให้ไปรษณีย์เข้าไปทำ (หัวเราะ)

กังวลไหมกับคู่แข่ง?

ตอนแรกก็กังวลนะ เพราะเราคิดว่าจุดเริ่มต้นของเรามาด้วยต้นทุนต่ำ แต่ก็พยายามต่อสู้กับขวัญกำลังใจของเราและกับทีมงานตลอด ออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4 ไปตากแดดจนดึกกว่าจะได้เข้าบ้าน แต่ในระหว่างที่เดิน ทุกวัน ทิศทางกับเสียงตอบรับมันทำให้เรามีกำลังใจเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันที่ท้อ เราทำโพลในใจทุกวัน เพราะเวลาไปคุยเราจะรู้ด้วยตัวเองเลยว่าเขาชอบเราไหม แต่ส่วนมากพอคุยแล้วก็เริ่มยาวไปเรื่อย กับบางคนต้องขออนุญาตเดินออกจากเขานะ แสดงว่าเขาเริ่มคิดเหมือนกับเรา เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร เขาอยากให้เราตอบอะไรกับเขา แต่เราต้องทำการบ้าน เพราะการเจอประชาชนแต่ละกลุ่มจะไม่เหมือนกับสคริปต์ที่อ่าน การตอบคำถามประชาชนคือส่วนสำคัญที่สุด เป็นศาสตร์ของการพูด เหมือนไฮด์ปาร์ก ถ้าไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ คนจะไม่ค่อยฟัง

ไฮด์ปาร์กสำคัญมากกับการหาเสียง เป็นอีกข้อที่เราได้เปรียบ แจกแผ่นพับอย่างเดียวไม่ได้ผล เพราะธรรมชาติคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ นโยบายสวยหรูแค่ไหนเอาไปวางสอดใส่หน้าบ้าน บางทีเขาก็เก็บไปทิ้ง ไม่ค่อยมีใครดู ถ้าสื่อนั้นไม่ได้ผล เราก็ต้องใช้สื่อภาษาพูดและมีเดีย ต้องจัดระดับประชากรในพื้นถิ่นให้ได้ว่าสื่อไหนจะใช้กับใคร

เอาประสบการณ์ไฮด์ปาร์กบนเวที หรือบนหลังคารถ 3-4 ชม. จากการเป็นประธานสหภาพแรงงานมาใช้ เช้ามืดไปตลาดสด แหล่งชุมชนที่คนเข้าออกก็ใช้เสียงอ่านหนังสือให้เขาฟัง เขาก็จะซึมซับเข้าไปทีละนิด เพราะเดินซื้อของอยู่แต่หูได้ยิน

เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ มีกลยุทธ์อะไรถึงทำให้ชนะเลือกตั้งได้?

ตอนลงหาเสียง จะเน้นที่ขายนโยบายและอุดมการณ์ ผมจะไม่ไปพบปะกับหัวคะแนน ผู้นำท้องถิ่น ทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายก อบต. อบจ. หรือผู้ที่มีอิทธิพลกว้างขวาง การทำงานของผมจะสวนทางกับระบบเดิม คือตัดระบบหัวคะแนนออกทั้งหมด แล้วมาคำนวณคะแนนในเขตกระทุ่มแบนทั้งหมด 15,0000 สถิติสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 40,000 กว่าคะแนน เอามาตั้งเป้าไว้ เหลืออีก 110,000 คะแนน เราจะต้องใช้แนวคิดอะไร ถึงจะเจาะคะแนนที่เหลือได้ นี่คือโจทย์ที่ผมวิเคราะห์

ประสบการณ์บุรุษไปรษณีย์ มีส่วนช่วยมากไหมในการหาเสียง?

อาชีพบุรุษไปรษณีย์มีประโยชน์เยอะมาก ลงมาแข่งขันเที่ยวนี้ 23 พรรคในเขต พรรคอนาคตใหม่หรือชื่อของผมไม่ได้อยู่ในสายตาของใครอยู่แล้ว เพราะมีพรรคใหญ่ 4-5 พรรคที่เป็นตัวเต็ง แต่ละคนเป็นอดีต ส.ท. ส.จ. ผ่านสนามเลือกตั้งได้รับเลือกมาตลอด เขาจะรู้หมด แต่ที่เขาบอกว่ารู้จักหมด เราฟังแล้วก็อดยิ้มอยู่ในใจว่า “ไม่ใช่” คนรู้จักผมมากกว่าแน่นอน เพราะผมเป็นไปรษณีย์ ให้บริการคนกระทุ่มแบนมา 5 ปี รู้ว่าใครบ้านเลขที่เท่าไหร่ บางครั้งไม่มีจ่าหน้า มีแค่ชื่อ หรือนามสกุล ผมก็สามารถที่จะไปจ่ายจดหมายให้ได้ นี่คือจุดที่ได้เปรียบ

เวลาไปแจกแผ่นพับก็เหมือนไปจ่ายจดหมาย เข้าไปแต่ละบ้านก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำว่าผมเป็นใคร เขาจะรู้ว่าไปรษณีย์คนนี้ชื่อ สมัคร เพราะเห็นเราตั้งแต่เริ่มเป็นฐานตัวเล็กๆ ออกไปตากแดดตากฝนอยู่ข้างนอก แต่นักการเมืองที่เป็นคู่แข่งจะรู้จักเฉพาะหัวคะแนนกับผู้จัดตั้ง

คิดว่าความผูกพันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ?

ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน คือ เราทำงานอย่างหนัก ตั้งแต่ตี 4 จบที่ 3 ทุ่ม ตื่นเช้าคว้ารถเข็น เครื่องขยายเสียง ถ้าเข้าซอยเล็กๆ ก็มีไมค์สะพายเหมือนคนตาบอดยืนร้องเพลงตามตลาดนัด (หัวเราะ) ช่วงเช้ามืดก็ไปดักรออยู่หน้าประตูหมู่บ้าน ยืนอยู่ตรงป้อมยามที่เขาไม่ให้เราเข้า มีเครื่องขยายเสียงตัวหนึ่ง ภรรยาก็ยืนชูป้ายเบอร์ 14 ทีมงานอีกคนคอยแจกแผ่นพับ

สรุปแล้วเราลงทุนด้วยแรง และสื่อของเราถึงประชาชนครบถ้วน ประกอบกับตัวสุดท้ายคือกระแสของพรรค ยุทธวิธีที่ลงมาเล่นครั้งนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จ เปรียบเหมือนการทำสงคราม เรามีหน่วยราบ หน่วยเรือ หน่วยอากาศ เรียกได้ว่าค่อนข้างเต็มรูปแบบ เรามีหน้าที่เป็นทหารพลปืนเล็กข้างล่าง ก็ใช้วิธีปูพรมเดินข้างล่าง ข้างบนบอมบ์ลงมาช่วย

ตอนที่กระแสซื้องูเห่า คิดไหมว่าตัวเองจะถูกทาบทาม?

ไม่เคยคิดนะ เพราะคิดว่าการเมืองไทยไม่น่าจะถึงจุดเลวร้ายขนาดนั้น ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดในสังคมของผู้นำประเทศที่เราเลือกเขามาทั้งชีวิต ผมคิดไม่ถึงจริงๆ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่เราระแวง คิดว่าไม่น่าจะมีการโกง น่าจะเป็นคนดี เป็นผู้ทรงเกียรติที่น่าจะทำเพื่อประเทศชาติกับประชาชนจริงๆ แต่มีลางบอกเหตุให้เห็นว่าไม่ใช่ ผมเห็นคนเดินออกมาล็อบบี้ มาขอคะแนนก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว มันขัดกับเจตนารมณ์ที่คิดว่าทุกคนควรจะต้องมีอุดมการณ์ในตัวเอง ไม่น่าจะมีการซื้อกัน

ตอนติดต่อมาแรกๆ คุยทางโทรศัพท์ ยังไม่เห็นตัวเห็นตน พอหนักๆ เข้าเริ่มคุยมากขึ้น มีคนสงสัยว่าถ้ารู้ ทำไมไม่แฉ ทำไมไม่บอกว่าเป็นใคร มาเมื่อไหร่ เบอร์โทรอะไร มีการบันทึกหลักฐานไว้ไหม ก็มี แต่ไม่จำเป็นต้องไปชี้ เราทำเป็นตีปลาหน้าไซ กวนน้ำให้ขุ่นก่อนเหมือนนกแซงแซว เราไม่กินเราไม่รับ แต่ทำให้เขารู้ตัวว่าไม่สมควรที่จะเอาสิ่งนั้นมาใช้ในประเทศ เพราะทุกวันนี้ก็ถูกกระทำย่ำแย่อยู่แล้ว พี่น้องประชาชน ประเทศชาติบอบช้ำด้วยเรื่องพวกนี้

เงิน 8 หลัก เปลี่ยนชีวิตได้ ไม่เสียดายหรือ?

เข้าใจว่าคนไม่เคยมี เข้ามาที 50 ล้าน 100 ล้าน ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะใช้อย่างไรให้หมด บางครั้งคนที่ไม่เคยมีก็ตกใจเหมือนกันนะ เงินทองเหล่านั้นทุกคนอยากได้ อยากมี แต่เราไม่มีสิทธิที่จะไปจับต้อง เราต้องตัดกิเลสให้ออก เพราะพื้นฐานของเรามาจากต้นทุนต่ำ จะได้เปรียบถ้าเราไม่มีความละโมบไม่เห็นแก่กิเลสเหล่านั้น มีเช้ากินค่ำ อยู่กันแบบนี้ก็ครองชีวิตได้จนวาระสุดท้าย ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีเพิ่มมาอีกอะไรมากมาย

เราจะไม่แปรเป็นเงินเพื่อขายตัวและเอาความสุขไว้กับตัวเอง สโลแกนของพรรค “ประชาชนคือเจ้านาย” ฉะนั้น ระบบทุน หรือผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพลในชาติบ้านเมืองบังคับเราไม่ได้เพราะว่าคุณไม่ใช่นายผม นายผมคือประชาชน นายของเราคือประชาชน เงินเดือนที่ประชาชนให้ผมตอนนี้เพียงพอแล้ว

ตอนที่เข้าสภาวันแรก ความรู้สึกเป็นอย่างไร?

ผมอาจจะตื่นเต้นน้อยหน่อย เพราะใส่ชุดข้าราชการมาทั้งชีวิต แต่ก็ชื่นชมและยินดีกับเพื่อนที่ยังไม่เคยแต่งเครื่องแบบ ซึ่งตื่นเต้นกันตั้งแต่ตอนตัดชุดแล้ว เครื่องหมาย คอกระดุมไปไม่ถูก เราก็จุกจิกๆ ช่วยกันดู คืออยู่ด้วยกันแล้วมันอบอุ่น ต่างคนต่างชื่นชมกับชัยชนะ ชื่นชมกับสิ่งที่ไม่เคยเห็น เราเข้าสภาวันแรกด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่าสายตาคนอื่นจะกล่าวปรามาส ดูถูกว่า ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เป็นน้องใหม่ แต่เราไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะเราเทรนกันตลอดทุกศาสตร์

คาดหวังกับสภาไว้อย่างไร?

ผมอยากเห็นสภาที่ผู้ทรงเกียรตินำเสนอโดยใช้เหตุและผลจริงๆ มีความเป็นไปได้ตามแง่มุมของหลักการ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่อยากให้เรื่องนอกประเด็นเข้ามาปนเวลาแถลงหรืออภิปราย นี่คือสภาอันทรงเกียรติ ที่อยากเห็น ซึ่งเป็นความหวังและอนาคตของประเทศ

คิดว่าเหตุการณ์ในช่วงชีวิต จุดไหนที่ทำให้เราเป็นเรา ที่มีทัศนคติ และอุดมการณ์แบบนี้?

คิดว่าเป็นประสบการณ์ทั้งชีวิต ประสบการณ์สำคัญมาก ต้องรู้จักเก็บเกี่ยวว่าวันหนึ่งเจออะไร เรคคอร์ดไว้แล้วมาประเมินทำเป็นศาสตร์ของเรา เพราะพ้นจากนอกบ้านทุกอย่างที่ประสบถ้าคิดว่าคือวิชาการก็คือวิชาการ เพียงแต่เราเห็นแล้วปล่อยผ่านเหมือนลมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างการขายก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่ลวกเส้นจนถึงใส่ชาม มันมีศาสตร์อยู่ในนั้น เพียงแต่เราต้องสังเกตและเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้

อาชีพบุรุษไปรษณีย์นอกจากทำให้เรียนรู้เรื่องคนแล้ว ทำให้เรียนรู้อะไรอีก?

ผมว่าการครองตน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เข้ากับคนอื่น เพราะแต่ละวันที่ไปพบปะประชาชน ความเป็นอยู่ พฤติกรรม ประเพณีปฏิบัติ แต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เราต้องสังเกตและเก็บมาวิเคราะห์ อาชีพนี้ทำให้เราประสบความสำเร็จหลายอย่าง ทั้งในการที่เราจะใช้เป็นกลยุทธ์ในการมาหาเสียง รู้ว่าเราคุยกับคนกลุ่มไหน คุยอะไรเขาถึงจะตอบสนองเป็นคู่สนทนาเรา นี่คือศาสตร์อีกตัวที่พยายามเก็บเกี่ยว

บางคนไปจ่ายจดหมายถ้าไปกดกริ่งหน้าบ้านให้เขามารับของ ก็ไม่ได้ เขาไม่พอใจ อาการออกฟึดฟัด คนกำลังจะนอน เราต้องรับมือและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้ ก็มาสอบถามความพึงพอใจของเขา ว่า “ถ้าเวลาท่านไม่อยู่ ให้ผมฝากไว้ตรงไหนได้บ้างครับ” คือเราจะไม่เอาใจของเราเป็นตัวตั้ง ต้องถามกับคนที่เราไปให้บริการว่าต้องการแบบไหน

อยากเห็นประเทศเป็นอย่างไรใน 5-10 ปี ข้างหน้า?

เราอยากเห็นความก้าวหน้า เพราะจังหวะและโอกาสของประเทศเราได้เปรียบทุกประเทศย่านอาเซียน มีความอุดมสมบูรณ์ไปหมด มีสินทรัพย์ทุกรูปแบบ ภัยพิบัติก็ไม่ค่อยมี แต่ประเทศเราขาดผู้นำในการบริหารจัดการ เรื่องศาสตร์ในการพัฒนา นักการเมืองรู้หมด แต่ผมอยากเห็นการกระทำของนักการเมือง ถ้าคุณมีโอกาสเข้าไปแล้ว คุณทำ ประชาชนจะเป็นคนดูคำตอบเอง

ถ้าเป็นตอนนี้ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากที่สุด?

อยากเห็นประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยจอมปลอม ไม่มีผู้บังคับบัญชาข้างหลัง หรือถูกครอบงำด้วยอำนาจ เราอยากเห็นประเทศอยู่จุดนี้มากที่สุด ผมถือว่าประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นประชากรจึงจะมีความสุข เวลาออกไปหาเสียง นั่นก็ประชาธิปไตย นี่ก็เผด็จการ บางทีคนที่คิดสวนทางถามว่าประชาธิปไตยกินได้หรือ มันดีตรงไหน เอาเป็นว่า เราเอาภาพเปรียบเทียบให้ดูดีกว่าที่จะไปเถียง อย่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือตอนนี้ไม่มีผับบาร์ ไม่มีภัตตาคาร กินแบบอดอยาก ทุกอย่างอยู่ที่รัฐ แต่อีกซีกอย่างเกาหลีใต้ ตอนนี้ติดอันดับความสุขของประชากรที่เท่าไหร่ของอาเซียน คนในโลกเสรีอยากไปเที่ยวเกาหลีใต้ การทำมาค้าขาย ธุรกิจเฟื่องฟู ประชากรอยู่เย็นเป็นสุข รายได้จับจ่ายใช้สอยชัดเจน แค่นี้ไม่ต้องมานั่งอธิบายว่าประชาธิปไตยกับเผด็จการอะไรดีกว่ากัน

อยากฝากอะไรกับประชาชนที่คาดหวังจะเห็นประเทศมีการเปลี่ยนแปลง?

ข้อสังเกตหนึ่งที่อยากฝากไว้กับพี่น้องประชาชน คือ ถ้าในการเลือกตั้งมีใครเอาเงินมาให้ท่าน สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าโกง เพราะคงไม่มีเทวดาที่ไหนมาเกิดในประเทศไทยมากมาย และใช้เงินเป็นหมื่นล้านพันล้านเพื่อจะเข้าไปนั่งแย่งกันเสียสละให้กับประชาชนเพื่อกินเงินเดือนหนึ่งแสน ถ้าเป็นท่านกล้าทำหรือไม่

นี่คือสิ่งที่อยากให้ประชาชนทั้งประเทศคิดเหมือนผม


“มันจะคอยหลบคุณและขนพองเหมือนสิงโตที่พร้อมขย้ำ”

ด้วยพื้นเพที่ตั้งของ อ.กระทุ่มแบน เมื่อสมัยก่อนสัญจรทางเรือเป็นหลัก สมัคร ป้องวงษ์ เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นบุรุษไปรษณีย์ขับเรือหางยาวนำจ่ายจดหมาย เส้นทางคลองภาษีเจริญ ต.ตลาดกระทุ่มแบน ทะลุเข้าหนองแขม ออกปากคลองตลาด

สมัครเล่าว่า คนจ่ายจดหมายโดนหมากัดทุกปี ปีละหลายหน แข้งขา น่อง กางเกงขาดหมด พอนึกภาพก็สนุก จอดเรือเทียบร่องสวนตัวแสบแอบอยู่ตรงดงมะพร้าว พวกนี้จะจำแม่น รถกี่คันถ้าไม่ใช่รถไปรษณีย์จะไม่ออกมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เราไปก่อความรำคาญมันหรือเปล่าไม่รู้ ยิ่งอยู่ในร่องสวน อยู่ในที่ลับมันยิ่งดุ และหมาที่กัดจะไม่ส่งซิก มันจะคอยหลบคุณอยู่และขนจะพองขึ้นมาเหมือนสิงโตที่พร้อมจะขย้ำ พวกหน่วยจู่โจมพอได้จังหวะ ไม่ข้างหน้าก็ข้างหลัง บางทีสะพายเป้ต้องเอาเป้มาบังไว้แล้วค่อยๆ ง้างปากออกจากขา กัดหมดทุกอย่าง เป้กระจายหมด จดหมายบางทีไปเสียบไว้ก็กระโดดมากัด ไม่รู้จงเกลียดจงชังอะไร แต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกดีไม่ได้คิดอะไรมาก กลัวที่สุดคือคนมาร้องเรียนค่าเสียหาย แต่ในยุคนั้นไม่มีนะ ความสัมพันธ์ซอฟต์กว่านี้

“อาชีพของคนจ่ายจดหมายมันลำบากมาก แต่ประชาชนเขาเห็นเรา ตั้งแต่ปี 2527 ที่เริ่มเข้ามาทำงาน ถนนเป็นดินเลน ยิ่งช่วงหน้าฝนมีเดินล้ม เดินมาส่งไปรษณีย์บางทีก็ต้องเลาะตามร่องสวน จุดที่ทุรกันดารที่สุดก็ต้องขับเรือ ผูกเรือไว้ตรงชายแม่น้ำ แล้วก็เดินเข้าไปแจกตามร่องสวน บางทีเข้าไปลึก นี่คือความลำบาก แต่ก็เป็นหน้าที่ที่เราภูมิใจ เพราะผลตอบรับคือ ให้ความเห็นอกเห็นใจและให้ความเป็นกันเอง เขาจะถามว่าหิวน้ำไหม กินอะไรมาหรือยัง เป็นความผูกพันที่เราเก็บและเพาะบ่มไว้ อาชีพของเราทำให้คนได้สัมผัสกับเรา และเราไปสัมผัสกับเขา มันเกิดความอบอุ่น”

ตลอดระยะเวลา 50 ปี ทำให้สมัครรู้พื้นถิ่น รู้ที่ไปที่มา เหมือนกับว่าเป็นคนเกิดที่นี่ เรียกได้ว่าทุกบ้านทุกหลังคาเรือนจะรู้จัก “สมัคร” ได้โดยไม่ต้องแนะนำตัว ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์บ้านๆ ทว่าแหลมคม และได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image