ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | รายงานโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
๏ ทินกรจรแจ้งแจ่ม หาวหน
ธารนทีชลหาย หาดแห้ง
[ดวงทินกร (ดวงอาทิตย์) ส่องแสงกลางท้องฟ้า ส่งความร้อนเผาผลาญ ท้องน้ำทั้งหลายแห้งเห็นเป็นหาดแตกระแหง]
๏ ธรณีธรณิศแล้ง เลอหาว แห้งแล
ใบบัดพฤกษาดวง เหี่ยวแห้ง
[แล้งแผ่นดินกว้างใหญ่ และแห้งท้องฟ้ากว้างขวาง หมู่ไม้ใบกรอบเฉาเพราะความแล้ง]
ทั้งหมดเป็นข้อความยกมาจากทวาทศมาส (โคลงดั้น) พรรณนากรุงศรีอยุธยา เดือนห้า หน้าแล้ง (ทางจันทรคติ ตรงกับสุริยคติราวเมษายน) เมื่อเรือน พ.ศ.2000
น้ำแล้ง น้ำล้น
น้ำแล้ง กับ น้ำล้น เป็นวิกฤตประจำปีจากธรรมชาติของบ้านเมืองในอุษาคเนย์ ทำให้มีพิธีกรรมเนื่องในศาสนาผีเพื่อลดความตึงเครียด
น้ำแล้งมี พิธีขอฝน น้ำล้นมี พิธีไล่น้ำ ได้แก่ แข่งเรือ, เห่เรือวิงวอนร้องขอให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวกำลังออกรวงในนา
พระเจ้าแผ่นดินในรัฐจารีตต้องทำพิธีขอฝนและไล่น้ำ พบในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา
ขอฝนกับไล่น้ำ พิธีกรรมในศาสนาผี เป็นวัฒนธรรมร่วมของบ้านเมืองในภูมิภาคอุษาคเนย์ เพราะอยู่ในเขตมรสุมเดียวกัน ต้องเผชิญวิกฤตร่วมกันทุกปีที่รู้ทั่วกันว่าฝนแล้งและน้ำท่วม
พิธีขอฝนและไล่น้ำ นักวิชาการทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีสรุปว่าเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ เพื่อความเจริญในพืชพันธุ์ว่านยาข้าวปลาอาหาร
ไทยเป็นส่วนหนึ่งของอุษาคเนย์ มีบรรพชนร่วมและมีวัฒนธรรมร่วมในพิธีกรรมของฝนและไล่น้ำ แล้วยังทำต่อเนื่องและสืบทอดถึงทุกวันนี้ ย่อมเป็นพยานอย่างดีว่าคนไทยไม่ได้มาจากไหน? คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์
แหล่งน้ำคืออำนาจ
แหล่งน้ำคืออำนาจ ใครคุมพื้นที่มีแหล่งน้ำ คนนั้นมีอำนาจ
หน้าแล้งไม่มีฝน แต่มีแหล่งน้ำธรรมชาติจากตาน้ำ ซึ่งมีน้ำผุดพุ่งจากใต้ดิน (ชาวบ้านเรียกบาดาล ปัจจุบันทางการเรียกน้ำบาดาล)
ชาวบ้านโบราณรู้ว่าตาน้ำอยู่ใต้จอมปลวก ถึงหน้าแล้งพากันหาจอมปลวก เมื่อขุดลงไปใต้จอมปลวกจะพบตาน้ำมีน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน
[คำบอกเล่าโดยพิสดารมีในข้อเขียนเรื่องการหาตาน้ำ ในหนังสือ ฅนทุ่งกุลา โดย เดช ภูสองชั้น (กำนัน ต.ทุ่งหลวง อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2545 มติชน พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2546 หน้า 184-189]
น้ำผุดจากตาน้ำเหล่านี้ ก่อให้เกิดดินดำน้ำชุ่มอุดมสมบูรณ์ คนแต่ก่อนเรียก ซัม (ซำ) เป็นรากเหง้าของคำว่า “สยาม” มีคำอธิบายอีกมากของ จิตร ภูมิศักดิ์ อยู่ในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2519)
จอมปลวกคลุมตาน้ำ
จอมปลวก คือ รังขนาดใหญ่ของปลวกที่เป็นกองดินสูงขึ้นไป โดยกองดินคลุมตาน้ำทำให้ตรงนั้นเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เมื่อเป็นเด็กเลี้ยงวัวในทุ่งนากับเพื่อนวัยเดียวกันหลายคน ชอบเล่นสมมุติเป็นกษัตริย์ขึ้นว่าราชการบนจอมปลวก มีเด็กคนอื่นเป็นขุนนางหมอบกราบ ต่อมาเด็กเลี้ยงวัวที่เล่นขึ้นว่าราชการได้รับเชิญเป็นพระเจ้าแผ่นดิน นามว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง (มีในพงศาวดารเหนือ)
พระเจ้าปราสาททอง ทรงมีพระสุบินว่าเมื่อเป็นเด็กเคยเล่นบนจอมปลวก ใต้จอมปลวกมีปราสาท ต่อมาให้ขุดจอมปลวกนั้นก็พบปราสาททองเป็นจัตุรมุข ตั้งแต่นั้นพระองค์จึงเฉลิมพระนามว่าพระเจ้าปราสาททอง (มีในคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า)
พิธีขอฝน
พิธีขอน้ำบนฟ้าให้ตกลงดิน จะได้มีน้ำทำนาทำไร่ (เฮ็ดไฮ่ เฮ็ดนา)
บวดควายขอฝน
พิธีบวดควายขอฝนเป็นการละเล่นคุมควายเปลี่ยวดุร้ายให้เป็นปกติ
โดยคนแต่งเป็นควาย ทาตัวดำ ขอบตาแดง สวมเขาควายบนหัว สวมเครื่องต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผูกเอวด้วยอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ทาสีแดงตรงหัวถอก เป็นต้น
แล้วมีคนจูงเชือกล่ามควายเพื่อบังคับต่างๆ
บวดควาย หมายถึง ควบคุมความดุร้ายของควายให้อยู่ในอาการปกติ ไม่เฮี้ยว [บวด เป็นคำเก่าที่เหลือตกค้างอยู่ในภาคใต้ ว่าวัวบวด หรือบวดวัว (หมายถึงควบคุมวัวให้เคลื่อนไหวตามต้องการของคน) แต่ถูกลืมจากคนท้องถิ่นอื่นเลยเขียนเป็น “บวชควาย”]
ต่อมาราชสำนักอยุธยายกย่องบวดควายเป็นการละเล่นของหลวง เรียก กระอั้วแทงควาย
หลังจากนั้นชาวบ้านเลียนแบบดัดแปลงเล่นทั่วไป เรียก กระตั้วแทงเสือ
สระแก้ว ขอฝน
สระแก้วใช้ทำพิธีขอฝนอยู่นอกคูเมืองด้านทิศใต้ของเมืองมโหสถ (อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี) ผนังขอบสระแก้ว สลักลวดลายเป็นรูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆ เพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ให้บ้านเมืองและราษฎร เช่น ช้าง, เหรา (มกร), นาค, ฯลฯ
สระด้านทิศตะวันตก เป็นซอกยื่นออกไป และมีทางขั้นบันไดสลักบนพื้นศิลาแลงธรรมชาติเป็นทางขึ้นลงสระ แต่เดิมอาจมีอาคารสร้างด้วยไม้ที่ใช้เป็นปะรําพิธี
ด้านทิศเหนือมีร่องรอยหลุมเสาปะรําพิธี สลักอยู่ตรงกลางลานหินที่ยื่นล้ำเข้าไปในสระ แสดงว่าเคยมีท่าน้ำเป็นเครื่องไม้ยื่นลงไปในสระ เพื่อพระราชาประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีขอฝน (พิรุณศาสตร์)
คางคกยกรบขอฝน
คางคก เป็นคำไทยภาคกลาง ตรงกับ คันคาก เป็นคำลาวลุ่มน้ำโขง เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กลุ่มเดียวกับกบ, เขียด
คางคกยกรบขอฝน เพราะฝนแล้งแห้งมาก เป็นนิทานยิ่งใหญ่ของคนในอุษาคเนย์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว แต่เรียกเป็นคำลาวว่าพญาคันคาก หรือตำนานจุดบั้งไฟ เพื่อบงการให้ฝนตก
พญาคันคาก เป็นคำบอกเล่าเรื่องของคันคากที่มีผิวหนังตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดน่ากลัว ระดมปลวกขนดินทำทางจากดินขึ้นถึงฟ้า แล้วพาพรรคพวกสารพัดสัตว์เดินขึ้นตามทางไปรบกับแถนบนฟ้าที่ควบคุมน้ำ ให้ปล่อยน้ำเป็นฝนตกลงดินตามฤดูกาล เพื่อชาวนาชาวไร่มีข้าวปลาอาหารเลี้ยงชีวิต
กบ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของคน เมื่อหลายพันปีมาแล้ว เชื่อว่ากบบันดาลน้ำฝนได้ ทำให้ข้าวปลาอาหารมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ เลี้ยงชีวิตคนทั้งชุมชน คนจึงมีจินตนาการ สร้างคำบอกเล่าต่างๆ มากมายหลายเรื่องสืบต่อกันมา แต่ที่แพร่หลายกว้างขวางมากสุด คือ พญาคันคาก หรือตำนานการจุดบั้งไฟ
กบ มีรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศหญิง ให้กำเนิดคนทั้งหลาย สมัยก่อนคนจึงเรียกอวัยวะเพศหญิงว่ากบ ส่วนของเด็กหญิงเรียกเขียด
ท่ากบ กางแขน กางขา เป็นท่าตั้งเหลี่ยมของโขนกับละคร ที่ได้จากท่ากบ (ไม่มาจากอินเดียตามที่เคยครอบงำมานาน)