ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พรรณราย เรือนอินทร์ |
เผยแพร่ |
เป็นความปีติยิ่งของพสกนิกร โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน เมื่อวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสสำเพ็งในวันที่ 6 ธันวาคมนี้
ย่านดังกล่าว มีความเป็นมาอันยาวนาน นับแต่ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ.2325
ทรงมีพระราชดำริให้ข้ามมาสร้างพระนครใหม่ทางคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันออก ทว่าบริเวณที่โปรดฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่อยู่ของ “พระยาราชาเศรษฐี” และชาวจีนจำนวนหนึ่ง จึงโปรดให้ชาวจีนกลุ่มนี้ย้ายไปตั้งหลักปักฐานบริเวณนอกประตูพระนครทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ขนานไปกับลำน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม หรือวัดจักรวรรดิราชาวาส ไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง
ดังปรากฏหลักฐานใน “พระราชพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์” ความตอนหนึ่งว่า
“ให้พระยาราชาเศรษฐี และพวกจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง”
บ้านของชาวจีนเหล่านี้ นอกจากเป็นที่พักอาศัย ยังถูกใช้เป็นร้านรวงค้าขาย กระทั่งกลายเป็น “ย่านการค้า” สำคัญยิ่ง
ส่วนที่มาของชื่อ “สำเพ็ง” ที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ มีหลากข้อสันนิษฐาน ซึ่งล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น บ้างก็เชื่อว่า เพี้ยนมาจากคำว่า “สามเพ็ง” ซึ่งเป็นชื่อวัดและชื่อคลองที่อยู่ละแวกนั้น คนจีนในย่านเดียวกันชินกับการออกเสียงสั้น จึงทำให้จาก “สามเพ็ง” กลายเป็น “สำเพ็ง” บ้างก็ว่า มาจากคำจีนแต้จิ๋วว่า “สามเผง” แปลตรงตัวได้ว่า “ศานติทั้งสาม”นอกจากนี้ ยังมีข้อสันนิษฐานอันเชื่อมโยงกับลักษณะภูมิประเทศของย่านที่มีคลองขวาง 2 คลอง ได้แก่ คลองเหนือวัดสำเพ็ง และคลองวัดสามปลื้ม ทำให้ตัดแผ่นดินเป็นสามตอน หรือ “สามแผ่น” ต่อมาจึงเพี้ยนไปตามสำเนียงคนจีนกลายเป็น “สำเพ็ง” หรืออาจเพี้ยนมาจากคำว่า “สามแพร่ง” ที่เป็นลักษณะของภูมิประเทศเช่นกัน
หรือแม้กระทั่งเชื่อว่าเพี้ยนมาจากชื่อต้น “ลำเพ็ง” พืชตระกูลเฟิร์นชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายใบโหระพา ซึ่งเคยมีมากในบริเวณดังกล่าว
แม้ทุกวันนี้ ที่มาของชื่อสำเพ็งยังไม่เป็นที่ยุติ แต่สิ่งที่นักประวัติศาสตร์มองเห็นตรงกันคือการเป็นย่านการค้าของชาวจีนอันรุ่งเรือง และหลากหลาย ไม่เพียงจำหน่ายข้าวของ สินค้านานาชนิด แต่ยังเป็นแหล่ง “รับจ้าง” ต่างๆ นานา ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างปะชุนเสื้อผ้า ไปจนถึงรับจ้างเขียนจดหมายส่งกลับ “บ้านเกิด” ในเมืองจีน นับเป็น “ไชน่าทาวน์” ที่เปี่ยมสีสันและมีพัฒนาการตลอดมาจนถึงวันนี้
บนเส้นทางยาวไกลในประวัติศาสตร์ย่านสำเพ็งตลอดจนถึง “เยาวราช” มีเหตุการณ์สำคัญที่ถูกจดจารในความทรงจำไม่เพียงแต่ชาวไทยเชื้อสายจีน หากแต่รวมถึงพสกนิกรทุกหมู่เหล่า นั่นคือการเสด็จประพาสสำเพ็งของพระพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ในหลวงรัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 โดยเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยพลิกสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยและชาวจีนในห้วงเวลานั้น ซึ่งส่อเค้าลุกลามบานปลายให้กลับกลายเป็นความสันติด้วยพระบารมีของทั้ง 2 พระองค์ หลังจากเกิดการลุกฮือก่อจลาจลโดยชาวจีนในไทยครั้งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องด้วยความไม่พอใจในท่าทีของรัฐบาลสยาม เพราะเกลียดชังญี่ปุ่น
ชาวจีนในสำเพ็ง เยาวราช ราชวงศ์ ประดับธงชาติจีน หยุดงาน ปิดร้านรวง ไปจนถึงก่อเหตุวิวาทกับคนไทยจนทางการต้องส่งกำลังเข้าระงับเหตุ
เป็นความขัดแย้งร้าวลึก ส่อเค้าบานปลายจนน่าหวาดหวั่น
ในหลวงรัชกาลที่ 8 และสมเด็จพระอนุชา ตัดสินพระทัยเสด็จฯ ประพาสสำเพ็ง อันเป็นพื้นที่ขัดแย้งหลัก “พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก” เรียบเรียงข้อมูลในรายละเอียดตรงนี้ไว้ว่า การตัดสินพระทัยในขั้นต้น ได้รับการทักท้วงเพราะรัฐบาลเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย แต่ทรงมีรับสั่งให้สำนักราชเลขานุการในพระองค์ แจ้งยืนยันให้รัฐบาลทราบ เพราะทั้งรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ก็เคยเสด็จพระราชดำเนินมาแล้ว
เมื่อชาวจีนในสำเพ็งได้ทราบข่าวอันน่ายินดีนี้ ต่างได้ร่วมแรงร่วมใจเตรียมสถานที่รอรับเสด็จ
3 มิถุนายน 2489 เวลา 9 นาฬิกา ล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินถึงสำเพ็ง นายกเทศมนตรีพระนคร เป็นผู้ถวายบังคมทูลเบิกผู้รักษาการแทนนายกสมาคมพาณิชย์จีน เข้าเฝ้าฯ
ทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯ ทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสำเพ็ง ชาวสำเพ็งได้จัดสร้างซุ้มรับเสด็จถึง 7 ซุ้ม ตลอดระยะทาง 3 กม.ในเวลา 4 ชั่วโมง
มีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชา และประดับธงไตรรงค์ดูสวยงาม โดยที่ตลอดสองข้างทางมีคนจีนที่อาศัยในย่านนั้นเดินทางมาเฝ้าฯ
ในระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน บรรดาพ่อค้าชาวจีนได้ทูลเกล้าฯ ถวายของมีค่า เช่น เครื่องกระเบื้อง และสิ่งของที่ทำด้วยหยก รวมทั้งถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล รวม 13,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมากในสมัยนั้น ต่อมาโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นทุนพ่อค้าหลวง และพระราชทานแก่ รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อให้เก็บดอกผล สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ยากไร้
ครั้นเมื่อเสด็จฯจนสุดย่านสำเพ็งแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ ยังได้เสด็จฯเยือนสถานที่สำคัญในย่านใกล้เคียง ได้แก่ รพ.เทียนอัน สมาคมพาณิชย์จีน ที่สาทร ทรงเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ทางสมาคมจัดถวาย แล้วเสด็จฯเยี่ยมมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และ รพ.หัวเฉียว ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับในช่วงเย็นวันดังกล่าว
นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่พลิกสถานการณ์จากความร้อนรุ่ม สู่ความฉ่ำเย็นด้วยน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ ตราตรึงในใจพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร จากอดีตจวบจนปัจจุบัน มิเสื่อมคลาย