ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | นวลนิตย์ บัวด้วง |
เผยแพร่ |
ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า
ปลุกไทยเที่ยวไทย – ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับสัมมนา ปลุกไทยเที่ยวไทย ปลุกเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า ในวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ แม้เป็นการจัดในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้สนใจในทุกแวดวงที่จะขอเข้าฟังการสัมมนาจนเต็มจำนวนที่จัดเตรียมไว้ ทั้งๆ ที่ มติชน ได้จัดไลฟ์สดตลอดการจัดงาน ตั้งแต่เวลา 09.00-12.30 น.
โดย ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนา “วันนี้นับเป็นอีกวาระหนึ่งที่หนังสือพิมพ์มติชน จัดงานสัมมนาขึ้นเพื่อร่วมหาทางออกให้กับประเทศ จากก่อนหน้านี้ได้จัดด้านการลงทุน เราเข้าใจกันดีแล้วว่าการลงทุนเป็นเครื่องยนต์ตัวหนึ่งในการพลิกฟื้นประเทศ แต่ยังมีเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่งซึ่งสำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ การท่องเที่ยว วันนี้เราจะพูดคุยกันเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อหาทางออกของประเทศไทย เพื่อปร
ะกาศความพร้อมของภาคการท่องเที่ยวและกีฬา หลังจากชาวไทยร่วมแรงร่วมใจควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี นับจากนี้เป็นต้นไป การท่องเที่ยวและการกีฬาจะได้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการชุบชีวิตเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของคนไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง”
จากนั้น พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ บางช่วงว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยและเป็นหนึ่งในฟันเฟืองกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจ ปี 2561 ภาคการท่องเที่ยวสร้างรายได้ 18% ของจีดีพีประเทศ จ้างงานกว่า 4.3 ล้านคน เป็นอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่องและดึงภาคธุรกิจอื่นให้โตตามด้วย แม้ปี 2562 สร้างรายได้กว่า 3.01 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.37% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้รวมภาคท่องเที่ยว 2 ใน 3 มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ แสดงให้เห็นว่าไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ
“เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาดเริ่มเดือนธันวาคม 2562 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย มีการห้ามหรือจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ จึงกระทบการท่องเที่ยวทั่วโลกต้องหยุดลงอย่างสิ้นเชิง โรงแรมหยุดให้บริการ สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง จนเกิดสายการบินหลายแห่งต้องล้มละลาย องค์การการท่องเที่ยวโลก (ยูเอ็นดับเบิลยูทีโอ) คาดว่าปี 2563 นักท่องเที่ยวทั่วโลกหายไปถึง 80% สูญเสียรายได้กว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จนถึงปี 2564 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงจะสามารถฟื้นได้ แต่ยังเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวทั่วโลก ดังนั้น พึ่งพาท่องเที่ยวในประเทศ จะเร็วกว่าพึ่งพาการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ”
จากนั้น รมว.การท่องเที่ยวฯ ก็ได้กล่าวถึงแผนงานจากนี้เพื่อปลุกการท่องเที่ยว บนเป้าหมายการทำงานจะสร้างรายได้ 1.23 ล้านล้านบาท โดยชูความมีเอกลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่นและมีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมาย หลากหลาย และสามารถท่องเที่ยวได้ ภายใต้แนวทางการกำกับของกระทรวงสาธารณสุข ควบคู่กับการปรับวิถีชีวิตใหม่ (นิวนอร์มอล) และนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว 4 ประการ คือ ปลอดภัย สะอาด ความเป็นธรรม และกระจายรายได้
ยกตัวอย่าง ด้านปลอดภัย จะรณรงค์คนไทยมีสำนึกและสร้างความรู้สึกต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เรื่องเป็นธรรม จะรณรงค์ตั้งราคาสินค้าหรือบริการไม่แตกต่างระหว่างคนไทยกับต่างชาติ ซึ่งจะทำควบคู่กับการสร้างกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ทั้งการจัดแพคเกจนำเที่ยวแตกต่างกันเริ่มที่ 8 แพคเกจ ตามวงเงินและระยะเวลาการพักผ่อน หรือเจาะกลุ่มเอ็กแพค คือต่างชาติที่ยังพำนักในไทยให้เกิดการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ชูจุดขายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือรักษาพยาบาล และอีกหลายโครงการที่เริ่มทยอยออกมา ตลอดไตรมาส 3 ปีนี้ อย่างต่อเฟส 2 โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่า กกท. กล่าวในช่วงเสวนา
อีกไฮไลต์ของงานคือการเสวนา เรื่อง ไทยพร้อมแล้วกับการท่องเที่ยววิถีใหม่ ภาครัฐอย่าง ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวช่วงหนึ่งว่า “การปลดล็อกกิจกรรมด้านกีฬาออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาแข่งขันกีฬาต่างๆ เกือบครบทุกชนิดกีฬาแล้ว สำหรับการจัดมหกรรมกีฬาม่ความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง ก็ต้องเน้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬาหรือสปอร์ตทัวริสม์ และพยายามหากิจกรรมเสริมเพื่อเพิ่มสีสันในสนาม กกท.และทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องจะทำงานเพื่อก้าวข้ามเฟสนี้ไปสู่การแข่งขันปกติ”
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ในวงเสวนา
อีกหน่วยงาน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในช่วงเสวนาบางช่วงว่า “การท่องเที่ยวและกีฬาไม่ได้เกิดขึ้นในเฟส 1 เนื่องจากยังมีบางจุดต้องระมัดระวัง ต้องค่อยๆ ลำดับมาทีละเฟส เช่น การกีฬา เริ่มต้นอนุญาตให้ออกกำลังกาย ต่อด้วยฝึกซ้อมและแข่งขันแบบปิด ขณะนี้กำลังเตรียมสู่การเข้าแข่งขันที่มีผู้เข้าชมได้ โดยจะทำ 2 สิ่งนี้ได้ตลอดเวลา คือ เฝ้าระวังการติดเชื้อในประเทศ และหากมีการติดเชื้อไทยสามารถควบคุมและจำกัดวงของการติดเชื้อได้ ในด้านท่องเที่ยวนำหลัก SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) วันนี้เราจะเดินหน้าต่อด้วย Care Clean Clear ร่วมมือกัน มาตรการส่วนบุคคล ทั้งสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง หากมองการท่องเที่ยว นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ช่วยชุบชีวิต สร้างความชื่นอก ชื่นใจ หากเราทำเส้นทางการท่องเที่ยวไปพร้อมกับมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคล และพื้นที่ให้ความสำคัญ เราไม่แค่สู้กับโควิด-19 แต่เราช่วยให้คนไทยทุกคนกลับมาอยู่ในฐานชีวิตวิถีใหม่ที่มีความสุขอีกครั้ง”
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่า ททท. กล่าวในการเสวนา
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไว้ว่า “ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขได้เป็นอย่างดีอันดับต้นๆ ของโลก และขณะนี้เริ่มเห็นการกลับมาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น แม้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังได้รับผลกระทบอยู่ หลังจาก 6 เดือนแรก มกราคม-มิถุนายน ยังไม่พบการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เทียบปีก่อนจำนวนหายไปถึง 66% เหลือนักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มที่ดี เริ่มดีขึ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากเป้าหมายจากจบรายได้ที่ 1.23 ล้านล้านบาท ช่วงที่เหลือของปีนี้การจะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาอีก 4 แสนคน จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก คาดว่าทั้งปีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 7 ล้านคนเท่านั้น จากเป้าหมายตั้งไว้ 9 ล้านคน แต่หากโควิดทั่วโลกคลี่คลายเร็วและเดินทางระหว่างกันได้มากขึ้น คาดถึงเป้าได้”
ด้าน ททท.เอง ก็เล่าถึงแผนงานที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมหลายด้าน เช่น เปิดให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ และธุรกิจการจัดงานสัมมนาขององค์กร หรือไมซ์ เข้าไทยมากขึ้น โปรโมตต่างชาติที่ได้รับอนุญาตจากภาครัฐ (ไทยแลนด์ อีลิตการ์ด) ที่เป็นสมาชิกหลายหมื่นเข้าไทย ประสานธุรกิจโรงแรมผันตัวเป็นโรงแรมกักตัวทางเลือก (เอเอสคิว) บนพื้นฐานความปลอดภัย เจรจาสายการบินเปิดเที่ยวบินแบบบินตรง เช่น ตรงไปภูเก็ต ซึ่ง ททท.คาดเดือนตุลาคมนี้ การปลดล็อกการเดินทางเข้าประเทศไทยจะเห็นแสงสว่างเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้นอีกด้วย
สุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการ สทท. ในวงเสวนา
และภาคเอกชนเต็มตัว อย่าง สุรวัช อัครวรมาศ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และอุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) แนะในการเสวนาไว้ว่า “ช่วงที่ผ่านมาหลายประเทศไม่ต้อนรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน แต่ไทยเป็นประเทศที่ต้อนรับมาตลอด ไทยและจีนจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากเปิดน่านฟ้ารับต่างชาติกลับมาเที่ยวได้อีกครั้ง เชื่อว่าชาวจีนจะเข้ามาเร็วกว่าทุกชาติ และไม่ต้องทำการตลาดมากมายอะไรด้วย เพราะชาวจีนมีความรู้สึกที่ดีกับไทยและต้องการมาเที่ยว ยังเป็นภาพพจน์ที่ดีต่อนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ จากการดูแลป้องกันโควิดที่ดีของไทย ก็น่าเปิดให้ต่างชาติเข้ามาได้ โดยเปิดประชาพิจารณ์และสอบถามความสมัครใจของคนในพื้นที่ว่าต้องการให้ต่างชาติเข้ามาหรือไม่ หากยอมต้องให้เข้ามา และช่วยกันดูแลทั้งจากรัฐและผู้ประกอบการในพื้นที่เอง ก็เพราะอย่างไรภาคท่องเที่ยวรายได้จากต่างชาติต่อเที่ยวไทยสูงติดอันดับ 2 ของโลก ใช้จ่ายต่อคนต่อทริปถึง 50,000 บาท”
สัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นเสียงสะท้อนว่า การทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น เรื่องการปลุกไทยเที่ยวไทยเข้ามาเติมเต็ม ถือเป็นอีกเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม และต้องร่วมมือกันของทุกฝ่าย