ที่มา | สร้อยดอกหมาก สุกกทันต์ |
---|---|
ผู้เขียน | สร้อยดอกหมาก สุกกทันต์ |
เผยแพร่ |
อาจเป็นเพียงนิทรรศการที่ได้รับความสนใจในคน “เฉพาะกลุ่ม” แม้ทรงพลังอย่างยิ่ง
อาจเป็นเพียงชุดภาพถ่ายที่คน “ทั่วไป” ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ แม้มากมายด้วยเรื่องราว
แต่ไม่ใช่กับห้วงเวลาและสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้
ในเวลาที่ม็อบราษฎรพากันชูป้ายตามหาคนหายสีเหลืองโดดเด่นซึ่งริเริ่มโดยกลุ่ม “Spring Movement” ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาฯ 2563 ในการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อแสดงการต่อต้านการอุ้มหายและจดจำบุคคลที่รัฐอยากให้ลืม
ในเวลาที่การชุมนุมทั้งในและนอกรั้วมหาวิทยาลัยมีผู้ปราศรัยเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ถูกเข่นฆ่าจากการต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีกว่า
“แด่นักสู้ผู้จากไป For Those Who Died Trying” โดย “ลุค ดักเกิลบี” (Luke Duggleby) ช่างภาพสารคดีชาวอังกฤษ นิทรรศการภาพถ่ายที่อุทิศให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน บนผนังโค้งสีขาวสะอาด ของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครในวันนี้ คลาคล่ำด้วยผู้คน ชมภาพ อ่านเรื่องราว ถกเถียง พูดคุย บันทึกภาพถ่ายจากภาพถ่ายไว้เป็นที่ระลึกและรำลึก
จำนวนมากในนั้น คือ “คนรุ่นใหม่” ผู้ซึ่งก่อนหน้าอาจไม่รู้จัก หรือให้ความสนใจต่อประเด็นผู้ถูกบังคับสูญหาย หรือสละชีพจากการต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชนมากเท่าเวลานี้ เวลาที่ผ่านไปแล้ว 5 เดือน แต่เรื่องราวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควรจะเป็น แม้ล่าสุด สิตานัน พี่สาว ได้เดินทางมุ่งหน้าสู่กัมพูชา สถานที่อุ้มหายเพื่อให้ปากคำต่อทางการ แต่ก็ไม่ใช่การรับประกันถึงแสงสว่างข้างหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
แม้เคยถูกนำเสนอที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานครมาก่อนแล้ว เมื่อต้นปี 2560 หลังการจัดแสดงที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนพฤษภาคม 2559 และในอีกหลายประเทศ
ยังไม่นับที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยใหม่เอี่ยม เชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งจบลงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ทว่า “แด่นักสู้ผู้จากไป” ในวันนี้ ดูจะมีนัยยะ ความหมาย และอยู่ในสปอตไลต์มากกว่าที่เคย ด้วยบรรยากาศในปลายพุทธศักราช 2563
ย้อนไปถึงที่มาของนิทรรศการซึ่งมีจุดกำเนิดจากโครงการของ Protection International (PI) และลุค ดักเกิลบี ในการนำเสนอภาพถ่ายและรายละเอียดสังเขปของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่ถูกลอบสังหารหรือถูกบังคับสูญหาย โดยสนับสนุนให้มีการรำลึกถึงพวกเขาเหล่านั้นโดยนำภาพถ่ายไปไว้ในจุดที่ถูกสังหารหรือถูกบังคับสูญหาย เป็นความพยายามผลักดันการ “ไม่ถูกลืม” และไม่ละเลยความสำคัญของการต่อสู้ โดยคาดหวังว่าผู้ใช้อำนาจอย่างมิชอบจะถูกนำตัวมาลงโทษในสักวันหนึ่ง และการได้รับความเป็นธรรมจะเป็นย่างก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การยุติความรุนแรงเหล่านี้ ที่จะไม่มีใครมีโอกาส “ลอยนวลพ้นผิด”
ทั้งหมดไม่ใช่เพียงภาพถ่ายในฐานะวัตถุธรรมดาสามัญ หากแต่เปี่ยมคุณค่าด้วยเรื่องราวข้างหลังภาพอีกทั้งกระบวนการ “รักษาความทรงจำ” โดยช่างภาพได้พยายามสืบสาว หาครอบครัว เพื่อนฝูงของวีรชนเหล่านั้นจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ขอภาพถ่ายของพวกเขา แล้วนำไปตั้งยัง “จุดเกิดเหตุ” จากนั้นจึงถ่ายภาพ
ตามข้อมูลจากงานวิจัยของ PI มีผู้ตกเป็นเหยื่อการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและการบังคับบุคคลสูญหายกว่า 70 รายตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงผู้จากไปต้องไม่ถูกลืมเลือน หากแต่ผู้ที่ยังมีลมหายใจซึ่งยังต่อสู้เพื่อสิทธิ คือสิ่งที่ต้องตระหนัก
ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องสู้ไปด้วยกัน สู้ต่ออำนาจไม่ชอบธรรม
สู้ต่อความพยายามลบให้ลืม