คำต่อคำ ปาฐกถา 90 ปีอภิวัฒน์สยาม อดีตยังเคลื่อนไหว (สำนึก) ประวัติศาสตร์สร้าง‘การเมืองใหม่’

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

จบลงอย่างงดงาม สำหรับงาน ‘90 ปี 2475 อภิวัฒน์สยาม’ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ ห้องริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวาระครบรอบ 90 ปี อภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 โดย สำนักพิมพ์มติชน ร่วมกับ มติชนสุดสัปดาห์ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ศูนย์ข้อมูลมติชน และคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อทบทวนการเดินทางของประวัติศาสตร์ราษฎรที่ยังคงส่งผลเชื่อมโยงถึงชีวิต และความหมายของผู้คน ตลอดจนสังคม การเมืองไทยในปัจจุบัน

เปิดงานด้วยปาฐกถาในหัวข้อ “90 ปี คณะราษฎร” ของ 2 องค์ปาฐก ย้อนประวัติศาสตร์วันวาน มองปัจจุบัน คาดการณ์อนาคตการเมืองไทย

ประชาชน นิสิต นักศึกษา นักวิชาการ แห่ฟังปาฐกถาและเสวนาอย่างคับคั่งจนล้นห้องริมนํ้า

อภิวัฒน์ รัฐประหาร

ปฏิวัติประชาธิปไตย

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ย้อนเล่าถึงความเป็นมาและความสำคัญของการทบทวนประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย จากอดีต ปัจจุบัน และวันข้างหน้า ท่ามกลางประชาชนผู้สนใจในประวัติศาสตร์ เยาวชนคนรุ่นใหม่ และนักศึกษา เดินทางมาร่วมฟังล้นห้องริมน้ำ

“24 มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์ ปฐมฤกษ์ของรัฐ ธรรมนูญของไทย เริ่มระบอบแบบอารยะประชาธิปไตย…”

Advertisement

อดีตอธิการธรรมศาสตร์ ครวญเพลงที่คุ้นเคย ในปลายยุคสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนเริ่มการปาฐกถา

ความดังนี้

เมื่อเริ่มรู้ความ รู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองก็ร้องเพลงนี้ได้เป็นอย่างดี เอาเข้าจริงแล้วเรื่องการปฏิวัติ 2475 จะใช้คำว่า “อภิวัฒน์” หรือ “รัฐประหาร” ก็ย่อมได้ แต่ตนสมัครใจเรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475”

Advertisement

ผมมาวันนี้ นึกถึงนักพูดซึ่งดังมาก เวลามาเขาจะหยิบหนังสือกองเบ้อเร่อขึ้นมาวางให้เห็น ผมก็ขอวางหนึ่งเล่ม เข้าใจว่าเล่มนี้ต้องขายดีมาก เป็นหนังสือที่ผมภูมิใจมาก ชื่อว่า ‘ประวัติการเมืองไทย พ.ศ.2475-2500’ พูดถึงการรัฐประหารของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

อีกเล่มซึ่งผมภูมิใจมาก คือเล่ม ‘จาก 14 ถึง 6 ตุลา’ คนขายหนังสือมักบอกว่า อาจารย์ตั้งชื่อผิด ความจริงในประวัติศาสตร์ คือ ‘จาก 14 ตุลา 2516-6 ตุลา 2519’ และผมมีชื่อรองว่า ‘ประวัติศาสตร์การเมืองพิสดารของสยามสมัยใหม่’

หนังสืออีกเล่มที่อยากอวด นี่คงเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มสุดท้ายในชีวิตของผม เพราะว่าผมอายุ 81 ปีแล้ว เกิดปี 2484 ผมเป็นเจเนอเรชั่นบิลเดอร์ (Builder) ก่อนเบบี้บูมเมอร์ (Baby boomer) ที่เป็นลูกศิษย์ผม สอนตั้งแต่ 2516 จนถึงปีนี้ นานมากๆ มีทั้งลูกศิษย์ ดี น่ารัก ชั่ว มีทุกแบบ ซึ่งคุณจะโทษใครก็ได้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในปัจจุบัน เพราะบังเอิญหลายคนในนี้ถูกบังคับให้เรียนวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทยกับผม ซึ่งเรามักจะเริ่มต้นบอกว่า ‘คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไตหรือไม่?’ อะไรทำนองนี้ ซึ่งยังมีคนเชื่ออยู่ ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษ อยากแปลเป็นภาษาไทย แต่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

24-28 มิถุนายน 2475

‘5 วันนี้สำคัญมาก’

ส่วนตัว ที่มติชนเชิญมาพูดวันนี้ ผมเรียนรัฐศาสตร์ที่นี่ก็จริง สิงห์แดง รุ่น 12 แต่เปลี่ยนไปเรียนประวัติศาสตร์เมื่อปริญญาเอก พบว่าถึงจะได้ที่ 1 ของคณะรัฐศาสตร์ แต่ผมอยู่ในกะลา

ผมเรียนปริญญาโทที่นี่ และที่ลอสแอนเจลิส ผมก็ยังตาไม่สว่าง เมื่อผมเปลี่ยนไปเรียนประวัติศาสตร์ ในปริญญาเอก ผมเริ่มตาสว่าง ที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้เรื่องจริงๆ เพราะประวัติศาสตร์ที่เขาให้เรียนในเมืองไทย เป็นเรื่องลัทธิความเชื่อทางการเมือง มากกว่าประวัติศาสตร์ ผมจึงเริ่มไปอ่านหนังสือในห้องสมุด ซึ่งกว่าจะมาเป็นห้องสมุดดีๆ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ใช้เวลานานมาก

ของไทยในยุคที่ผมเรียนใน ม.ธรรมศาสตร์ ปี 2503-2506 เมื่อผมมีอธิการบดีชื่อ ถนอม กิตติขจร มหาวิทยาลัยคู่แข่งของผมอยู่แถวสามย่าน มีอธิการบดีชื่อ จอมพลประภาส จารุเสถียร มันนึกไม่ได้เลยว่า ปัจจุบันนี้ คนเหล่านั้นจะกล้ามาเป็นอธิการบดี ประหลาด มหัศจรรย์มาก ผมผ่านยุคสมัยที่ใช้เวลานานมาก เรียน ป.เอก ถึงรู้ว่าโลกในเมืองไทยถูกครอบงำด้วย ‘อคติ อวิชชา’ มหาศาล คือจุดเปลี่ยนของผม

ผมอาจโม้ในวันนี้ว่า เมื่อท่านปรีดีย้ายออกจากเมืองจีนในปี 2513 บังเอิญผมไปอยู่ปารีส ซึ่งมีหอแองแตร์ฯ ที่รวมนักศึกษาประเทศต่างๆ เราคบหาสมาคมและพูดเรื่องการเมืองเยอะในปารีส รู้ว่าท่านปรีดีพบปะ-ประชุมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่รู เดอ ซอมเมอราด์ (Rue de Sommerard) ก็ไปเดินหาตึกนั้น ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมไปแล้ว ผมเริ่มตาสว่าง ท่านปรีดีย้ายไปปารีสตอนนั้น ได้ไปพบท่านครั้งแรกในชีวิต ประทับใจมาก ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เลี้ยงผมด้วยข้าวคลุกกะปิ ผมยังจำได้จนบัดนี้ ประทับใจมากๆ ทำให้ผมสนใจเรื่องราวการปฏิวัติ 2475 เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ที่ผมเขียนอย่างค่อนข้างละเอียด

ผมเขียนว่า ถ้าท่านต้องการจะรู้จักการปฏิวัติ 2475 ของสยาม ท่านต้องศึกษาเรื่องราวของวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน-28 มิถุนายน 2475

5 วันนี้สำคัญมาก ยึดอำนาจโดยฉับพลัน จบลงด้วยการมีรัฐธรรมนูญ ตั้งสภา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการเปิดการประชุมสภา ในวันที่ 28 เพียง 5 วันจบ ขอเวลา 5 วันเอง เขาไม่ได้ขอเวลา 8 ปี 5 วันนี้สำคัญมาก

วาทะ+กรรม ทำคนเป็น‘แพะ’

เราต้องเข้าใจ 90 ปีที่แล้ว เรื่องราวของคณะราษฎร และคณะเจ้า (ตามนัยยะ) การมี Young Siam แปลว่าต้องมี Old Siam ซึ่งเป็นของกลุ่มขุนนางเก่า ตระกูลบุนนาค เราต้องสนใจในแง่ของการก่อตั้งขบวนการคณะราษฎร ที่เริ่มต้นที่ปารีส เราต้องให้ความสนใจกับความเห็น 2 ด้าน ต่อ 2475 คนจะมองเป็นบวก หรือเป็นลบ คุณจะมองหาวีรบุรุษ หรือมองหาแพะ?

ผมชอบใจโปสเตอร์มติชนวันนี้มาก พระยาพหลฯ อยู่ตรงกลาง สองข้างเป็นท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม และปรีดี พนมยงค์ พระยาพหลฯ จะด้วยอะไรไม่ทราบ ท่านหลุดออกจากข้อหาล้มเจ้า แต่คนทั้ง 2 ข้างถูกทำให้เป็นแพะทั้งคู่ ซึ่งยายของผมอยู่ อ.ปากน้ำ สมุทรปราการ เป็นเจ้าของ ร.ร.เฉลิมวิทยา อยู่มาตลอดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จำได้ว่ายายไม่เคยหยุดกินหมากเลย และไม่ได้ตัดผมทรงสมัยใหม่ แต่ไว้ทรงดอกกระทุ่ม ทำไมยายไม่โดน จอมพล ป. บังคับให้เปลี่ยนทรงล่ะ? เพราะอยู่ตรงปากน้ำ ผมจึงรู้สึกว่า เรื่องราวที่ได้ยินเกี่ยวกับ จอมพล ป. เป็นเรื่องที่ ‘กุขึ้นมา’ กล่าวหาให้เป็นแพะ เช่นเดียวกับเรื่องของ อ.ปรีดี พนมยงค์ หรือไม่?

ดังนั้น ความเห็นเกี่ยวกับ 2475 มีทั้งบวกและลบ เราอยู่ในวาทกรรม ‘วาทะ’ สร้างขึ้นโดยคนที่มีอำนาจ ‘กรรม’ ตกอยู่ที่คนทั่วไปอย่างเรา

ที่จะต้องดูต่อไปเกี่ยวกับ 2475 คือภูมิหลังประวัติศาสตร์สังคม เรื่องราวของชนชั้นนำไทย และข้าราชการ อุดมการณ์ชาตินิยม และประชาธิปไตย ผมมองว่า เราจะเข้าใจ 2475 เรื่องของวันนี้เมื่อ 90 ปีที่แล้ว เราต้องดูในลักษณะ ‘ประวัติศาสตร์พิสดาร’ ดูตั้งแต่วันที่ 24-28 มิถุนายนไม่พอ ต้องดูย้อนไปดูว่าก่อนหน้า 2475 มีอะไร มีกบฏ ร.ศ.130 หมอเหล็ง ศรีจันทร์

วันนี้เราย้อนกลับไป 90 ปี แต่จาก 90 ปี สามารถย้อนไปได้อีก 60 ปี เป็น 150 ปี เราจะกลับไปยัง กบฏบวรเดช, คำกราบบังคมทูล ร.ศ.130 ของกลุ่มเจ้านาย สิบกว่าคน ซึ่งนำโดย พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ตระกูลชุมสาย ที่ต้องการให้สยามประเทศมีรัฐธรรมนูญ มีการปกครองที่มีนายกฯ แต่สยามหาได้ปฏิรูปอย่างจริงจังไม่

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

สยาม‘ไม่ได้เชย’ขนาดหนัก
ไม่รู้จักประชาธิปไตยเอาเสียเลย

ถ้ามองกลับไปอย่างนี้ จะเห็นว่ามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมาก จุดนี้สำคัญมาก คือการที่ “หมอบรัดเลย์” นายแพทย์ที่มาจากอเมริกา ซึ่งเรารู้จักท่านในแง่นำยารักษาโรคสมัยใหม่ มีอิทธิพลมากๆ กับการที่นำมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ เข้ามาช่วยสยามด้านการแพทย์สมัยใหม่ ทั้งวัคซีน ไข้กันทรพิษ ที่ชี้ไปทางนี้เพราะ รพ.ศิริราช ทันสมัยมากในแง่การดูแลรักษา หมอบรัดเลย์ เป็นทั้งแพทย์ เป็นหมอสอนศาสนา และเป็นนักหนังสือพิมพ์

ผมประทับใจมาก ที่ คุณขรรค์ชัย บุนปาน เอารูปหมอบรัดเลย์ตั้งไว้ที่สำนักงาน บมจ.มติชน เก่ง ที่เรียนโบราณคดี แต่รู้จักประวัติศาสตร์ ความจริงหมอบรัดเลย์ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกเป็นภาษาไทย ‘บางกอกรีคอร์เดอร์’ แล้วแปลรัฐธรรมนูญอเมริกัน ออกเป็นภาษาไทยเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 4 สมาชิก ร้อยกว่าคนที่อ่านหนังสือ เป็นสมาชิก บางคนก็จ่ายค่าสมาชิก บางคนก็ไม่ได้จ่าย ไปเช็กดู หมอบรัดเลย์ลงละเอียดเลยว่าใครจ่าย-ไม่จ่าย ผู้ที่อ่านมีทั้งขุนนาง สกุลบุนนาค คหบดี และขุนนางที่ต่างจังหวัด อ่านแล้วขนลุกรายชื่อคนเหล่านั้น

สยามประเทศเราไม่ได้เชยขนาดหนัก ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตยเลย เอาเข้าจริงแล้วการเปลี่ยนแปลง โลกสมัยใหม่ Modernity สยามประเทศรับรู้แล้ว แต่ทำไมเราถึงช้า มองเข้าไปแล้ว ปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ไม่ได้ชิงสุกก่อนห่ามหรอก มันมาพร้อม Modernity เป็นกระแสของโลก ถ้าเราดูจากประกาศคณะราษฎรฉบับ 1 ซึ่งเข้าใจกันว่าท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นคนร่าง แล้วพูดถึงว่า สยามเป็นประเทศเอกราชสุดท้ายที่ยังไม่มีการปฏิวัติประชาธิปไตย อเมริกาไปแล้ว เมื่อปี 1776 ตรงกับสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ในโลกสมัยใหม่ เอาเส้นแบ่งที่สำคัญ คือการปฏิวัติของอเมริกา 1776 นี้ ที่จะตามมาด้วยการปฏิวัติของฝรั่งเศส 1789 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 ของรัตนโกสินทร์ แปลว่าเอาเข้าจริงแล้ว เมืองไทยก็เห็นว่ามี 1776, 1789 และ 1911 ของจีน ของซุน ยัดเซ็น ตรงกับรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้าการพยายามยึดอำนาจ ร.ศ.130 ของหมอเหล็งนั่นเอง

ถ้าเราดูภาพรวมการเมืองระหว่างประเทศ จะเข้าใจว่าเราชิงสุกก่อนห่าม ไม่พร้อมจริงหรือ เมื่ออะไรหลายอย่างทั้งในและนอกประเทศก็ดี ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

เมียนมา-ไทย
ใครจะถึงหลักชัย‘ประชาธิปไตย’ก่อนกัน

มีบทหนึ่งสั้นๆ ที่เขียนไว้เรื่องความไม่พร้อมของสยาม ไม่พร้อมจริงหรือ ใครไม่พร้อม? ลองศึกษาดู ในที่สุดแล้วหนีไม่พ้นว่า ความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ถ้าไม่มีทหารกลุ่มหนึ่งออกมายึดอำนาจ 2475 ‘ไม่สำเร็จ’ กลุ่มสำคัญคือทหาร ที่นำโดยพระยาพหลฯ กลุ่มพระยาพหลฯ คือนายทหาร ‘ซีเนียร์’ ส่วน ‘จูเนียร์’ คือ จอมพล ป., พระยาพหลฯ หลุดรอดไปได้ ท่านโชคดีมาก ไม่ถูกทำให้เป็นแพะ และชื่อของท่านยังเป็นชื่อถนนที่ยาวมาก จากกรุงเทพฯ ไปถึงแม่สาย แต่ 2 ท่านที่อยู่ข้างๆ กลายเป็นแพะแล้ว

ถนนที่น่าจะชื่อ ‘พิบูลสงคราม’ จอมพล ป. ก็มีความผิดพลาดมากๆ ตอนตัดถนนลงใต้ มีคนเสนอชื่อ ‘ถนนพิบูลสงคราม’ แต่จอมพล ป. ไม่เอา มองว่ายกย่องตัวเอง น่าเกลียด จึงมาใช้ ‘เพชรเกษม’ เป็นชื่อถนนสายนั้น

“ถ้าเราจะเข้าใจ 24 มิถุนายน 2475 ถ้าเราจะเข้าใจ 90 ปีที่แล้ว มันมีความเห็นหลายด้านมาก สิ่งหนึ่งซึ่งจะทำให้เราเข้าใจดี เราต้องศึกษาในแง่ ประวัติศาสตร์ระยะยาว (Long history) ดูไกลเป็น 100 ปี บางทีเรามานั่งเถียงว่าสำเร็จ-ล้มเหลว เพราะคุณไม่ได้ดูทั้งกระบวนการ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไม่ว่าชาติใด มีกระบวนการที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ฉะนั้นต้องดูทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ระยะยาว และในเชิงเปรียบเทียบด้วย (Comparative history) ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับใคร เทียบกับพม่าก็ได้ อยู่ใกล้ๆ ฟัดกันมาหลายร้อยปีแล้ว ใครจะไปถึงหลักชัยประชาธิปไตยก่อนกัน

สำนึกประวัติศาสตร์

ผลักดันการเปลี่ยนแปลง

ดร.ตามไท ดิลกวิทยรัตน์

ด้าน ดร.ตามไท ดิลกวิทยรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ ปรัชญา และวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ สรุปภาพกว้างของการศึกษา อภิวัฒน์สยาม 2475 ในปัจจุบัน ว่ามีประเด็นใดบ้างที่นักวิชาการศึกษาไปแล้ว และต้องศึกษาในอนาคต เพราะไม่เพียงอนาคตที่เคลื่อนไหว อดีตก็ยังเคลื่อนไหวเช่นกัน เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

ความดังนี้

การศึกษา เริ่มตั้งแต่หลังปี 2500 คนที่สนใจอาจจะบอกว่าเป็นนักวิชาการที่จบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะสาขารัฐศาสตร์ หลัง 2500 ทุกคนทราบดีว่าเป็นยุคเผด็จการและเศรษฐกิจด้อยพัฒนาเช่นกัน คนจึงย้อนไปศึกษาว่า สังคมก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงสมัยใหม่ คืออะไร ซึ่งนั่นคือการเปลี่ยนแปลงปี 2475

ในแรกเริ่ม คนมองในแง่ลบว่ามีความล้มเหลวบางอย่าง นำมาซึ่งความล้มเหลวหลังปี 2500 มีความผิดพลาดใดที่นำมาสู่เผด็จการและด้อยพัฒนา งานศึกษาแยกเป็นแบบนั้น จากนั้นงานศึกษา 2475 เริ่มขยายตัว นับจนถึงวันนี้ 40 ปี มีหลายอย่างเปลี่ยน องค์ความรู้ขยาย จากการทำงานของนักวิชาการ อย่าง ศ.(พิเศษ) ดร.ชาญวิทย์ รู้เกี่ยวกับ 2475 ดี และสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ 2475 ในสังคมไทย ซึ่งตลอด 40 ปีมีงานที่เพิ่มขึ้นเยอะ แบ่งเป็น 2 ประเด็นกว้างๆ คือ

1.งานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของระบอบเก่า ก่อนหน้าเรามักเน้นว่าคนที่ทำการอภิวัฒน์ 2475 คือใคร คณะราษฎรมาจากไหน แต่อันนี้ศึกษาว่าระบบเก่ามีปัญหาอะไร คนซึ่งเป็นผู้นำของระบอบเก่าเองก็รู้สึกว่ามีปัญหา เช่น งานของอาจารย์นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ไชยันต์ รัชชกูล เป็นต้น

2.ศึกษากลุ่มคนซึ่งเกี่ยวข้องกับ 2475 ในระยะหลัง คนมีความสนใจศึกษาคนกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ และมีส่วนร่วมกับ 2475 เช่น งานศึกษา ข้าราชการ รวมถึงกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ เช่น กลุ่มปรปักษ์ปฏิวัติขยายตัว ทำให้ภาพ 2475 ไม่ได้อยู่เฉพาะคณะราษฎร แต่รวมคนกลุ่มอื่นๆ ทำให้เห็นในแง่มุมที่ต่างกัน

3.งานที่ศึกษาผลกระทบ 2475 ไม่เฉพาะเหตุการณ์ แต่ศึกษานโยบายคณะราษฎร ว่าต้องการเปลี่ยนสังคมไปทิศทางไหน

สำคัญ เพราะคนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง มีภาพในอนาคต อุดมคติของสังคมที่อยากสร้าง ไม่สามารถปฏิเสธว่าความพยายามนี้มีอยู่จริง ชี้ว่าเขาพยายามทำอะไร เรามีภาพในใจและมีนโยบายอะไรบ้าง เป็นคุณูปการอย่างมากที่เปลี่ยนแปลงความรับรู้คนรุ่นใหม่ในประเทศไทย และ ‘สำนึกทางประวัติศาสตร์’ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต

ในฐานะที่ผมดูวิทยานิพนธ์ ทั้งของ ม.ธรรมศาสตร์ และหลายมหาวิทยาลัย งานที่ศึกษาผลพวงของ 2475 มีเยอะมาก นี่เป็นความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้นมาก ทำให้เห็นว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงเยอะมาก และคณะราษฎรมีคุณูปการอย่างสูง ซึ่งคนปัจจุบันอาจไม่ทราบว่า เป็นโปรเจ็กต์ของคณะราษฎร

นอกจากจะชื่นชมนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้ ต้องขอบคุณมติชนอย่างมากที่ผลิตงานเหล่านี้สู่สังคม

นอกเหนือจากภาพกว้างการศึกษา

ขอถือโอกาสขอบคุณมติชนและอีกหลายสำนักพิมพ์ ในการสร้างสำนึกประชาธิปไตย เพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image