คิดถึงก็มาเจอกัน ไอคอน 90s ในตำนาน (FEED) RETRO ‘ยุคแห่งความครีเอทีฟ’

คิดถึงก็มาเจอกัน
ไอคอน 90s ในตำนาน
(FEED) RETRO ‘ยุคแห่งความครีเอทีฟ’

ประเดิมวันนี้วันแรก สำหรับ FEED RETRO Music & Food Fest #90s ไม่นานมานี้ ที่พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ ‘มิวเซียมสยาม’
ท่าเตียน กรุงเทพฯ ตลอดสุดสัปดาห์ 24-26 พฤศจิกายน โดย FEED ผู้ผลิตคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ภายใต้เครือมติชน

ส่งเทียบเชิญระดมพลนักร้องชื่อดังแห่งยุคมาร่วมแสดงดนตรีสด เต็มอิ่มกับอาหารจานเด็ดจากร้านดังในตำนาน โซน Night Book Fair #วันวานยังอ่านอยู่ และกิจกรรมพิเศษที่พลาดไม่ได้ อาทิ Talk ในสวน กับบุคคลในตำนานจากหลายวงการ ท่ามกลางลมหนาว ซึ่งจะพาย้อนความทรงจำ กลับไปยังทศวรรษ 1990 หรือ 90s

⦁คิดถึงก็มาเจอกัน! ‘จักรพันธุ์’ ผู้ประกาศตำนาน 90s วอร์มเสียงรอ
หนึ่งในบุคคลดังแห่งจักรวาลยุค 90 ที่คนไทยคุ้นสุ้มเสียงสำเนียงเป็นอย่างดี คือ จักรพันธุ์ ยมจินดา อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดัง เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มแห่งช่อง 7 จะเดินทางมาบอกเล่าประสบการณ์ในหัวข้อ ‘มืออาชีพแห่งยุค 90’ ตั้งแต่เส้นทางของการเป็นผู้ประกาศข่าว โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ตนไปสมัครผู้ประกาศข่าว ที่กรมประชาสัมพันธ์ เห็นป้ายประกาศตอนที่เดินผ่านสนามหลวง จึงสมัครด้วยวุฒิการศึกษา ม.8 เท่านั้น ซึ่งตำแหน่งนี้ต้องไปสอบที่จังหวัดลำปาง โดยสอบทั้งข้อเขียนและการทดสอบหน้ากล้อง

Advertisement

“เขาจับอ่านข่าวต่อหน้ากล้องทีวี สมัยนั้นกล้องใหญ่มาก เสร็จแล้วก็ออกมาให้คณะกรรมการสัมภาษณ์ คือตอนที่ไปอ่านข่าวสอบได้แค่ครึ่งหน้า เขาก็บอกให้พอ เราก็นึกว่าไม่ได้แล้ว พอกรรมการเดินมาคุย เขาบอกว่าหลายปีแล้วไม่มีคนอ่านเก่งแบบนี้ คุณได้แน่นอน พอประกาศผล ก็ได้ที่ 1” จักรพันธุ์ย้อนเล่า ก่อนสารภาพว่า ความจริงแล้วอยาก ‘พากย์หนัง’ เคยฝึกเองตั้งแต่เด็ก เพราะมีโอกาสได้ดูหนังฝรั่ง ‘บ้าๆ บอๆ’ เกิดความประทับใจที่มีคนพากย์เก่งมาก จึงลองพากย์ด้วยการอ่านหนังสือออกเสียง

“หนังสืออะไรเราก็หยิบมาอ่านหมด นอกจากทำให้มีความรู้แล้ว ก็ทำให้เราอ่านได้อย่างคล่องตัวด้วย พอมาอ่านข่าวที่ลำปาง จึงมีโอกาสได้พากย์หนังเรื่องแรก Mister ED ม้าพูดได้ เริ่มจากการพากย์เสียงเป็นม้า จนได้ขยับมาพากย์เสียงคน รวมถึงพากย์กีฬาฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากนักพากย์คนก่อนหน้าป่วยบ่อย พอเราได้โอกาสครั้งแรก ก็ได้พากย์ฟุตบอลคู่ลิเวอร์พูลกับแมนยูฯ เลย เราอยากพากย์ให้มันดี จึงดูเทปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนจำตัวนักเตะได้หมดเลย ทำให้พากย์ออกมาได้ดี”

กระทั่งกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ได้สมัครงานช่อง 3 ได้ไปทดสอบการพากย์หนังเรื่อง ‘เวทีชีวิต’ ตอนนั้นคนที่มาพากย์หนัง ส่วนใหญ่จะเป็นคนพากย์หนังกลางแปลง ไม่ค่อยมีคนที่พากย์หนังทีวีที่มาจากต่างจังหวัด เรียกได้ว่าแทบจะไม่มี ตนทดสอบได้ที่ 1 อีกครั้ง

Advertisement

“ตอนนั้นไม่ได้ทำงานอื่นเลย พากย์หนังอย่างเดียว จนทำให้เรามีชื่อเสียงขึ้น เพราะมีหนังใหญ่ หนังดังมากขึ้น เช่น กระบี่ไร้เทียมทาน ศึกสายเลือด เปาบุ้นจิ้น หนังจีนทั้งหลาย ซึ่งตอนนั้นเราพากย์ตัวรอง แล้วได้ค่าตัวน้อยกว่าคนอื่นเขา ก็ต้องยอมรับ แต่ทำงานมา 6 ปี ไม่ได้ขึ้นค่าตัว จนถูกทาบทามจากคุณสุรางค์ เปรมปรีดิ์ ไปพากย์หนังช่อง 7 ซึ่งตอนนั้นหนังช่อง 7 กำลังดังมาก แล้วยังต้องพากย์กันอยู่ ไม่ได้ใช้เสียงของดาราแบบในปัจจุบัน เช่น เรื่องหลวงตา และอีกหลายเรื่อง”

ส่วนงานพากย์กีฬา จักรพันธุ์เล่าว่า หลังกลับจากงานเอเชี่ยนเกมส์ ซึ่งจัดที่ประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2525 มานิตย์ ควรขจร ป่วยเป็นโรครองช้ำและเบาหวาน ทำให้ต้องตัดขา จนมาทำงานไม่ได้ พากย์กีฬาไม่ได้ จึงต้องพากย์ฟุตบอลตั้งแต่บัดนั้นมา ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มาถึงยุคของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน

“ช่อง 7 มักจะได้สิทธิในการถ่ายทอดฟุตบอลทีมชาติตลอด จนได้พากย์กีฬาแห่งชาติ พากย์หนัง อ่านข่าวด้วย จนกระทั่งช่อง 9 เขาเปิดยุคคุณสมเกียรติ อ่อนวิมล กรรณิการ์ ธรรมเกษร เขาอ่าน ดังระเบิดเถิดเทิงเลย เรตติ้งพุ่งกระฉูด เราจึงปรึกษากับทีมว่าผมจะเลิกพากย์หนัง ให้ผมมาอ่านข่าวอย่างเดียว มาคุมฝ่ายข่าวด้วย จะได้อยู่กับข่าวทั้งวัน เข้าใจข่าวทั้งวัน เราสู้ด้วยความเร็วเพราะเรามีดาวเทียม เราก็อ่านคู่กับศันสนีย์ นาคพงศ์ หรือติ๋ว มาเรื่อยๆ”

เมื่อได้คุมฝ่ายข่าว ปรากฏว่าเรตติ้งพุ่งกระฉูดขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญขึ้นเยอะ เช่น พายุเกย์ ช่อง 7 ได้ภาพก่อนใคร ภาพกลางทะเลจากแท่นขุดก๊าซกลางทะเลอ่าวไทย ซึ่งช่องอื่นไม่มีออก หรือเครื่องบินเลาดาแอร์ ตกที่สุพรรณบุรี ไม่ว่าเกิดอะไร ก็เร็วหมด

นายจักรพันธุ์กล่าวว่า ความสนุกในการทำข่าวยุคนั้น คือ ข่าวแรกเป็นข่าวใหญ่ที่สุดของวัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง อาชญากรรม ต่างประเทศ ถ้าเราเห็นว่าข่าวนี้ใหญ่แบบพาดหัวหนังสือพิมพ์ ข่าวนี้ก็จะต้องเริ่มตอนเปิดรายการก่อน ส่วนเทคนิคในการอ่านข่าว ส่วนใหญ่ตนจะเสริมลีลาการนำเสนอ เนื่องจากตอนนั้นใช้ Auto Queue คือ การที่เนื้อข่าวปรากฏขึ้นที่เลนส์กล้อง มันทำให้เราไม่ต้องก้มหน้าอ่าน แต่เราก็ต้องมีลีลาการอ่านข่าวของเราเอง เพื่อไม่ให้คนดูจับเราได้ว่าเราอ่านอยู่

“ฝากถึงคนที่คิดถึงเสียง ท่านสามารถเดินทางมาพบกันได้ที่มิวเซียมสยาม หากอยากฟังเรื่องราวอะไรก็สามารถเขียนมาบอกได้ ผมจะเล่าเรื่องอดีตให้ฟัง พร้อมแชร์ช่วงชีวิตในการทำงานวิทยุ ทีวีมา 50 กว่าปี ถือว่าได้มารำลึกเรื่องราวในอดีตก็แล้วกัน เราอายุ 70 แล้ว ก็ยังดูดีอยู่ สามารถมาพบกันได้เลย พร้อมทั้งมีการขายอาหารดีๆ มีดนตรี พร้อมนิทรรศการด้วย มันจะทำให้เราเห็นอะไรต่อมิอะไร เราก็พร้อมที่จะแบ่งปัน” จักรพันธุ์ทิ้งท้าย

⦁‘90s ครีเอทีฟชัดเจน’ เทปเพลงหลากสตอรี่
การเปิดบูธครั้งแรกของ Cassette Shop
นอกจากช่วงการพูดคุย งานนี้ยังมีบูธน่าสนใจที่จะชวนไปย้อนความทรงจำ ดังเช่น ร้านดังอย่าง Cassette Shop ของ เจ ณัฐพล สว่างตระกูล วัย 42 ปี ซึ่งเปิดเผยว่า ตนจะเอาสินค้าจากร้าน เป็นเทปคาสเซตหายากและเครื่องเล่นชนิดต่างๆ ไปวางจำหน่ายภายในงานนี้ด้วย นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเอาเครื่องเล่นเทปคาสเซตไปเปิดสร้างบรรยากาศ โดยทำเป็นเหมือนบูธดีเจขึ้นมา เตรียมเทปไว้ประมาณ 300-400 ม้วน ไปจำหน่ายในงานนี้ในราคาพิเศษด้วย มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 80 บาท หลักร้อยจนถึงหลักพัน พร้อมกับเปิดโชว์ในงาน

เมื่อถามว่า ทุกวันนี้วงการสะสมเทปยิ่งเฉพาะกลุ่ม (Niche) แคบลงไปอีก ปัจจุบันในไทยยังถือว่ามีคนสะสมอยู่มากน้อยแค่ไหน?

นายณัฐพลเปิดเผยว่า ความจริงคนที่เล่นเทปคาสเซต ก็มีหลักแสน แต่กลุ่มคนที่เล่นจริงจังก็จะมีอยู่ประมาณ 50,000-60,000 คน เป็นคอมมูนิตี้เฉพาะกลุ่ม โดยส่วนมากจะซื้อขายกันในออนไลน์

“ถ้าถามในแง่ของการจะหาเทปคาสเซต ธรรมดาผมไม่เคยออกบูธเลย เป็นครั้งแรกที่จะมาเปิดบูธในงานนี้ เพราะตัวงานดูน่าสนใจดี มีดนตรี มีหนังสือ อาหาร ผมรอฟังดนตรี ฟังได้หมดทุกวง” ณัฐพลกล่าว

ของสะสมเหล่านี้ยิ่งเก็บนานยิ่งมีราคาสูงขึ้น คิดว่ามีมูลค่าเพราะอะไร อย่างไร?

นายณัฐพลกล่าวว่า ของสะสมเหล่านี้มันหยิบจับได้จริงๆ หมายถึงว่า สมมุติเราชอบ ‘พี่เบิร์ด’ ธงไชย แมค อินไตย์ เราชอบแล้วแสดงออกอย่างไรได้บ้าง ตนก็คิดว่าการซื้อของพี่เบิร์ด ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ ซีดี เทป ก็คือการสนับสนุนทางหนึ่ง

“เทปคาสเซตก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน สตอรี่ของเทปเองก็มีเรื่องราวมากกว่านั้น ยิ่งเก็บไว้นาน มันก็เป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ที่อยู่ในเทปคาสเซต เป็นอัลบั้ม มีทั้งตัวปกบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ว่าการทำงานเพลงนี้เป็นอย่างไร มันก็เป็นเหมือนบันทึก” เจ ณัฐพลระบุ

เรียกว่าเป็นสมบัติส่วนตัว ที่เราเก็บด้วยความรัก ความหวงแหนมาตลอด มีเรื่องราวไหนที่เกี่ยวข้องกับเทปแล้วยังติดอยู่ในความทรงจำไม่ลืม?

“เราเก็บด้วยความรัก มีเรื่องราวซ่อนอยู่ในนั้น บางม้วนมันมีสตอรี่ บางคนมีเรื่องราวว่าไปซื้อม้วนนี้จากไหน กับใคร ถ้าตอนวัยรุ่นเราก็จะอัดเทปให้สาว ถ้าที่ไม่ลืมก็เรื่องราวประมาณนั้น เราทำเป็นเหมือนเพลย์ลิสต์รวมเพลงที่ชอบ เอาไปให้เขา ก็เลยมีความผูกพันกับเทปเป็นพิเศษ”

เมื่อถามว่า ความสุขยุคนั้นเป็นอย่างไร?

เจ ณัฐพลเผยว่า ตนคือคนยุค 90s สายตรงเลย เรียกว่าเป็นยุคที่กำลังจะโตเร็ว เริ่มทันกระแสโลก เริ่มมีเสื้อผ้า แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ เข้ามาหลากหลายมากขึ้นในยุคนั้น

“ผมว่ามันมีของและความนิยมทั้งจากต่างประเทศเข้ามาด้วยพอดีในช่วงนั้น เหมือนประเทศเรากำลังเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ มีนู่นมีนี่ให้เราลอง ในยุค 90s มันเต็มไปด้วยการทำงานด้านดนตรี เพลงในช่วงยุค 90s ความสวยงามของมันคือ มีค่ายเล็กค่ายน้อยเกิดขึ้นในเมืองไทยเยอะมาก วงการกว้างขึ้น

ผมว่าเป็นยุคของการเริ่มเปิดความครีเอทีฟ ชัดเจนในยุคนั้น คือ 90s”

⦁ละคร โลกดนตรี 7 สีคอนเสิร์ต ‘ทราย เจริญปุระ’ ไอคอนบันเทิง
ปิดท้ายที่ อินทิรา เจริญปุระ หรือ ‘ทราย’ นักร้องและนักแสดงชื่อดัง ซึ่งเตรียมเข้าร่วมงาน FEED RETRO ในฐานะไอคอนแห่งยุค 90s พร้อมแชร์ประสบการณ์คนในวงการบันเทิงที่มีผลงานหลากหลาย พิสูจน์ฝีมือมาแล้วทั้ง ละคร, ภาพยนตร์, เพลง, พิธีกร และคอลัมนิสต์

ทรายเผยว่า ตนเกิดในปี’80 ในช่วงขณะนั้นคุณพ่อ คือ รุจน์ รณภพ ทำภาพยนตร์อยู่แล้ว จึงได้เห็นและซึมซาบบรรยากาศเรื่อยมา

“ภาพยนตร์ในยุคนั้น จะเป็นหนังพากย์เสียง มีการถ่ายทำกันไปแบบปกติ เมื่อถ่ายทำเสร็จสิ้นแล้วก็จะให้นักพากย์ พากย์เสียงอีกทีหนึ่ง ซึ่งในยุคนั้นไม่ใช่ยุคพากย์สด หรือไม่ใช่แบบที่ไปฉายหนังกลางแปลงแล้วพากย์สด แต่จะเป็นการไปพากย์ที่ห้องอัดเสียง พระเอกก็จะเป็นเสียงอารอง หรือรอง เค้ามูลคดี เป็นนักพากย์และนักแสดงชาวไทย นางเอกก็จะเป็นเสียงของอาดาว หรือดวงดาว จารุจินดา

ปัจจุบัน เรื่องของแพลตฟอร์มต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป อย่างเมื่อก่อน จะเป็นภาพยนตร์โรงใหญ่และฟรีทีวี แต่ในปัจจุบันมีทั้งสตรีมมิ่ง ทั้งทางติ๊กต็อก นักแสดงหรือดาราเข้าใกล้ประชาชนมากยิ่งขึ้น ทั้งวิธีการรีแอ๊กกับแฟนคลับต่างๆ มีความแตกต่างกันออกไปตามรายละเอียดในยุคสมัย” ทรายกล่าว

เมื่อถามว่าในช่วงยุค 90s วัยรุ่นฮิตอะไรกัน? นักแสดงแห่งยุค 90s เล่าว่า ความจริงแล้ว ตนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นสักเท่าไหร่ เพราะเริ่มทำงานเร็วมาก ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็อาจจะหลุดโค้งนิดหน่อย แต่ก็ยังเป็นยุคที่มีการเขียนเฟรนด์ชิปกันอยู่ โทรศัพท์บ้านมีเครื่องพ่วง มีเครื่องโซนี่วอล์กแมน หูฟังที่เป็นแบบก้านบางๆ ทั้งเกมบอย ที่ ‘ใครมีก็ดูเก๋’

“อย่างทรายถือว่าหรูหรามากในรุ่นเดียวกัน ก็คือเครื่องเล่นเทปของ Sony ที่สามารถทำมิกซ์เทปของตัวเองได้ จำได้เลยว่าเป็นเงินก้อนแรกกับการเล่นละครเรื่องแรก ตอนนั้นได้ค่าตัวเล่นละครประมาณ 7,000 บาท แม่ก็พาไปซื้อ มันแพงแบบดูอลังการมาก ก็รู้สึกว่าของชิ้นนี้เก๋ไก๋ที่สุดแล้ว หากจะไปซื้อเทป ในยุคนั้นนับว่าเป็นของที่แพงมาก ตลับหนึ่งเกือบ 100 บาท ราคาปกก็จะแพงกว่า แต่ถ้าเราไปซื้อร้านแผงเทป ราคาจะถูกลงมา ซึ่งการจะทำมิกซ์เทป ก็ต้องมีเทปหลายๆ ม้วน เป็นความหรูหรา เก๋ๆ ยุคนั้นจะฮิตอะไรประมาณนี้” ทรายย้อนเล่า

เมื่อถามว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่มีสื่อมากมาย ให้เข้าถึงการฟังเพลงได้ง่ายขึ้นกว่าในยุค 90s ส่วนตัวมองอย่างไร?

ทรายมองว่า ยังมีคนที่ยังฟังเพลงแบบเทป หรือบางคนก็คงยังอยากฟังเพลงจากแผ่นเสียงอยู่ ศิลปินในปัจจุบันบางคนก็ยังมีการบันทึกเสียงลงไปอยู่ในแผ่นเสียงอยู่ เพราะมีความเฉพาะตัวบางอย่าง คล้ายๆ กับกล้องดิจิทัลและกล้องฟิล์ม

“ในปัจจุบัน คนเราถ่ายรูปผ่านกล้องดิจิทัล ก็ยังอยากปรับให้เป็นโทนฟิล์มๆ อยู่เลย เพราะว่าเป็นการตอบสนองความต้องการของตนเองในการโหยหาสิ่งเก่าๆ และยังมีความเฉพาะตัวของมันบางอย่าง เสียงที่บันทึก หรือว่ากระบวนการในการได้ฟังเพลงมันพิเศษ และคนก็ยังชอบความพิเศษตรงนั้น คล้ายกับคนที่สะสมของ ไม่ว่าจะเป็นของอะไรก็ตามบนโลก หากเขารู้สึกว่ามันพิเศษแล้วมีอะไรเชื่อมโยงกับเขาได้

เมื่อถามว่า บรรยากาศการฟังเพลงในยุคนั้นเป็นอย่างไร คนนิยมฟังผ่านช่องทางไหนบ้าง?

ได้คำตอบว่า วัยรุ่นในช่วงยุค 90s ถ้าไม่ได้ฟังวิทยุที่เราจะฟังประจำ ก็จะมีที่สยาม เพราะสยามจะเปิดเพลงให้ฟังและค่ายเบเกอรี่ มิวสิค ก็อยู่ที่นั่นด้วย

“ตอนนั้นจะมีความพิเศษ ถ้าเดินไปแล้วเจอศิลปินจากค่ายเบเกอรี่ ก็รู้สึกพิเศษแล้ว สยามก็ยังเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นอยู่ นอกจากนี้ก็มีที่ลานเพลิน 7 สี ก็จะมีดนตรีฟรี ทุกวันเสาร์ก็จะมี 7 สีคอนเสิร์ต ทุกวันอาทิตย์จะมี โลกดนตรี ศิลปินที่มาจากเมืองนอกก็ยังมาเล่นที่นี่” ทรายย้อนอดีตอันงดงาม

อย่าลืมมาพบปรากฏการณ์ครั้งแรกแห่งความสุขยุค 90 ติความสนุกท่ามกลางลมหนาว ติดตามความเคลื่อนไหวและสอบถามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/Feedforfuture โทร 0-2589-0020

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image