ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พรรณราย เรือนอินทร์ |
เผยแพร่ |
เพิ่งเปิดตัวไปอย่างอลังการสำหรับ “พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่” ที่วัดเทพธิดาราม อารามสำคัญในเกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีหลักฐานแจ่มชัดว่ากวีเอกเคยออกบวชและจำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ระหว่าง พ.ศ.2382-2385 ในพระอุปถัมภ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ โดยพรรณนาถึงปูชนียสถานและความงดงามของสถาปัตยกรรมในวัดอย่างละเอียดลออในวรรณคดี “รำพันพิลาป”
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เดิมใช้ชื่อว่า “กุฏิสุนทรภู่” จัดแสดงข้าวของจิปาถะที่เชื่อว่าร่วมสมัยกับสุนทรภู่ กระทั่งมีการบูรณปฏิสังขรณ์ตัวอาคาร แล้วปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ “ครบวงจร” โดยคาดหวังให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวชีวิตและผลงานของท่าน ประกอบด้วยลูกเล่นไฮเทคมากมาย
อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลหลายอย่างยังคงน่าสงสัย ยังไม่นับ “ความเชื่อ” ที่ว่า อาคารดังกล่าวคือกุฏิของสุนทรภู่ ซึ่งไม่ได้ถูกอธิบายว่าไม่เคยมีหลักฐานใดๆ แน่ชัด
มาหมุนเข็มนาฬิกาแบบรัวๆ ย้อนไปกว่าครึ่งศตวรรษเมื่อครั้งเปิดอาคารดังกล่าวเป็นครั้งแรก ซึ่งกลายเป็นมูลเหตุแห่งความทรงจำว่าที่นี่คือกุฏิสุนทรภู่ กระทั่งมาสู่พิพิธภัณฑ์ที่ยังต้องตั้งคำถาม
26 มิถุนาฯ 2504 ที่ ‘กุฏิคณะ 7’
เรื่องราวเกี่ยวกุฏิสุนทรภู่ ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ครั้ง ธนิต อยู่โพธิ์ นั่งเก้าอี้อธิบดีกรมศิลปากร มีการสันนิษฐานว่ากุฏิหลังหนึ่งในคณะ 7 เคยเป็นที่จำพรรษาของสุนทรภู่ แม้ดูจะไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนแต่ก็มีการจัดงานยิ่งใหญ่ที่วัดเทพธิดาราม เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2504
งานในวันนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของ สุจิตต์ วงษ์เทศ อดีต “เด็กวัด” เทพธิดาราม ผู้ซึ่งยังไม่รู้ตัวว่าต่อมาจะกลายเป็นหนึ่งในหัวหอกผู้รื้อสร้างประวัติชีวิตของกวีเอกผู้นี้ผ่านการผลิตซ้ำงานเขียนมากมาย ยืนยันว่าสุนทรภู่ไม่ใช่คนเมืองแกลง แต่เป็นชาววังหลังฝั่งธนบุรี จนเดี๋ยวนี้ตำรับตำราต้องทยอยปรับเปลี่ยน
สุจิตต์เล่าถึงบรรยากาศสุดคึกคักในวันนั้นว่า ตอนนั้นยังเรียนมัธยม อยู่ๆ ก็มีคนมาที่วัดมากมาย ถึงรู้ว่ามีการจัดงานที่ “คณะ 7” แต่ไม่ได้ถามใครว่าเป็นงานอะไร ต่อมากรมศิลปากรตีพิมพ์หนังสือรำพันพิลาปของสุนทรภู่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน พร้อมด้วยภาพงานวันเปิดกุฏิสุนทรภู่ กลายเป็นภาพชุดประวัติศาสตร์มาจนถึงวันนี้
สุจิตต์ยังเล่าถึงความทรงจำในวัยเด็กที่เกี่ยวกับสุนทรภู่อย่างมีสีสัน ตั้งแต่วันที่ยังไม่ได้สนใจอ่านกลอน พัฒนาสู่ความสนใจที่มีต่อสุนทรภู่ โดยมี ขรรค์ชัย บุนปาน และ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ เป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากเป็นกลุ่มเพื่อนที่ชวนกันอ่านวรรณกรรม
“คราวหนึ่งขรรค์ชัยกับเรืองชัยไปนอนค้างคืนด้วยกันในกุฏิท่านพระครูที่ผมอาศัยข้าวก้นบาตรกับที่ซุกหัวนอน แล้วกลางดึกก็เล่นผีถ้วยแก้ว จุดธูปเชิญวิญญาณสุนทรภู่มาแต่งกลอนแข่งกัน ผลคือสุนทรภู่ในผีถ้วยแก้วแพ้กลอน อีกนานหลายปีผมถึงอ่านงานของสุนทรภู่อย่างจริงจัง อันเนื่องจากขรรค์ชัยกับผมกลายเป็นศิษย์วงสุราของ ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี นามปากกา พ.ณ ประมวญมารค ได้ฟังเล็กเชอร์นอกระบบเกือบทุกวันจากโต๊ะร้านเนี้ยว กับมิ่งหลี ละแวกหน้าพระลาน”
2559 ปฏิสังขรณ์ ตั้งเป้า ‘พิพิธภัณฑ์ครบวงจร’
ตัดฉากมาในพุทธศักราช 2559 อาจารย์ด้านวรรณคดีไทยชื่อดังจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กที่ได้รับการแชร์ต่ออย่างมากในแวดวงการศึกษา โดยระบุว่า วัดเทพธิดารามรื้อกุฏิสุนทรภู่เพื่อสร้างสถานที่แสดงแสงสีเสียงเกี่ยวกับประวัติสุนทรภู่ สร้างความสนใจต่ออาคารดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมา พระวิสุทธิวราภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ชี้แจงว่า ไม่ได้รื้อ แต่เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์และปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ โดยได้รับงบประมาณจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวมกับงบประมาณอีกส่วนหนึ่งของทางวัด มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนากุฏิสุนทรภู่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์แบบครบวงจร มีเทคนิคแสงสีเสียงดึงดูดให้ผู้เข้าชมสนใจเนื้อหานิทรรศการที่เกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงานของสุนทรภู่ โดยในส่วนนี้ใช้งบประมาณ 5,700,000 บาท ดำเนินการโดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง สำหรับการบูรณะคุมโดยกรมศิลปากร เพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการ เนื่องจากวัดเทพธิดาราม เป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนตั้งแต่ พ.ศ.2492 คาดจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2559
กระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2560 การดำเนินงานก็ยังไม่เสร็จสิ้น แต่มีความคืบหน้าไปมาก และสุดท้ายก็สำเร็จบริบูรณ์เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในวันสุนทรภู่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา
เทคโน 4.0 ข้อมูล 0.4
ทันทีที่พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชม ก็มีเสียง “บ่น” เบาๆ ด้วยความเกรงใจจากคนในแวดวงวิชาการ อารมณ์ประมาณว่า “ผิดหวัง” และเสียดายที่นิทรรศการภายในทั้ง 4 ห้อง ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากนักเกี่ยวกับสุนทรภู่ แม้มีแอนิเมชั่นนำเสนอในห้องต่างๆ แต่ก็เป็นเรื่องราวพื้นๆ และค่อนข้างยืดยาวเกินกว่าคนจะตั้งใจชม มิหนำซ้ำข้อมูลบางอย่างยังล้าสมัย ทั้งที่ควรนำเสนอหลักฐานใหม่ที่ได้รับการค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็น “อาชีพ” ของสุนทรภู่ ซึ่งในห้อง “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” มีข้อความระบุชัดเจนว่าท่าน “เป็นกวีที่ปรึกษาใกล้ชิดองค์กษัตริย์” ทั้งที่ในยุคนั้นไม่มีอาชีพกวี และอาชีพที่แท้จริงของสุนทรภู่ก็คือรับราชการเป็น “อาลักษณ์” ร่างหนังสือในราชสำนัก
นอกจากนี้ ในห้องเดียวกันยังระบุว่า ในขณะออกบวช “นับเป็นช่วงชีวิตที่ลำบากที่สุดของสุนทรภู่” ซึ่งหากพิจารณาตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์แล้ว ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีช่วงชีวิตใดที่สุนทรภู่ตกระกำลำบาก เนื่องด้วยอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้านายตราบจนสิ้นชีวิต
สำหรับการนำเสนอผลงานของมหากวีท่านนี้ในห้อง “มณีปัญญา” ก็มีความพยายามให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วม เช่น การนำ “กลบท” มาแยกเป็นท่อนๆ สำหรับเล่น “ต่อกลอน” และเน้นย้ำถึงโลกทรรศน์ที่กว้างขวางของสุนทรภู่ แต่ดูเหมือนไม่มีเนื้อหาที่มีน้ำหนักมากพอ ทั้งที่ควรเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะผลงานคือสิ่งที่ทำให้ชายคนนี้เป็นที่รู้จักและยกย่องของคนไทย กระทั่งได้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านวรรณกรรม ประกาศโดยองค์การยูเนสโกเมื่อ พ.ศ.2529
ส่วนห้อง “แรงบันดาลใจไม่รู้จบ” นั้น มีการโชว์ข้าวของที่บอกว่า “ร่วมสมัย” กับสุนทรภู่ พร้อมกระดานชนวนและตู้พระธรรม ดูไม่ค่อยสัมพันธ์กับชื่อห้องที่ตั้งไว้เท่าไหร่นัก
ทั้งหมดนี้ มีการนำเสนอที่เน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะ “เออาร์” (Augmented Reality) ให้ถ่ายภาพคู่ปูชนียวัตถุต่างๆ อาทิ หลวงพ่อขาว รวมถึงสุนทรภู่ และพระองค์เจ้าหญิงวิลาส (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ) พระราชธิดาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้อุปถัมภ์สุนทรภู่ โดยจินตนาการว่าอยู่ร่วมเฟรมกัน จากนั้นภิกษุสามเณรจะถ่ายภาพซึ่งจะปรากฏบุคคลและสิ่งต่างๆ แบบสามมิติ
ต้องยอมรับว่ากิจกรรมนี้สร้างความตื่นเต้นและสนุกสนานให้ผู้เข้าชมไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่คำอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมกับเนื้อหามีน้อยเกินไปหรือไม่ได้ถูกออกแบบให้ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร
หลงประเด็น ขาดมิติ ไม่ลงตัว
ผศ.ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สุนทรภู่มาแล้ว มีความเห็นว่า ก่อนอื่นต้องชื่นชมทางวัดซึ่งมีความตั้งใจจะเผยแพร่งานสุนทรภู่ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอในพิพิธภัณฑ์ยังไม่ชัดและไม่โดดเด่น หากมีเฟส 2 อยากให้นำข้อมูลมานำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น โดยอาจจัดให้มีหลายแนวคิด เพราะสุนทรภู่ไม่ได้เก่งเรื่องภาษาไทยอย่างเดียว พอทำเนื้อหาออกมาอย่างที่เห็น อาจทำให้คนนอกวงการด้านภาษาไทยคิดว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่จริงๆ แล้วสุนทรภู่สามารถแตะได้ทุกวง ทั้งประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พันธุ์ไม้ การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตอนนี้การจัดห้องยังไม่ชัดเจนและเน้นไปที่ประวัติสุนทรภู่ โดยเป็นสิ่งที่หาดูได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต
“ควรมีธีม เล่นประเด็นเฉพาะให้น่าสนใจ ความจริงมีหลายมิติที่นำมาเล่นได้ เพื่อให้ผลงานสุนทรภู่มีความคมชัดมากขึ้น นอกจากนี้ ในอีกมุมต้องเข้าใจว่าคนที่เข้าไปอาจมีพื้นความรู้ไม่เท่ากัน บางห้องมีของวางอยู่เฉยๆ มีชื่อเรียกของ แต่ไม่มีคำอธิบายว่าเกี่ยวข้องกับสุนทรภู่อย่างไร บางห้องอาจหลงประเด็นไปเป็นเหมือนการจัดแสดงข้าวของช่วงรัชกาลที่ 3 หรือตอนที่สุนทรภู่มีชีวิตอยู่ แต่ต้องตั้งกฎไว้ก่อนว่าหลักการคือจะเผยแพร่เรื่องสุนทรภู่ ก็อาจต้องยึดหลักการนี้ และวางผังความคิดแต่ละห้องให้เป็นระบบจึงจะเล่าเรื่อง ไม่เช่นนั้นเมื่อเข้าไปแล้วอาจไม่มีสิ่งที่ต้องการ”
ในด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม ผศ.ดร.อภิลักษณ์มองว่า พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวควรมีกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วม เช่น อาจให้คนเขียนกลอนต่อจากสุนทรภู่ หรือจับวางตัวละครที่ตัวเองต้องการ เช่น เอาม้านิลมังกรไปเจอกับลักษณะวงศ์ เพื่อสร้างจินตนาการ หรือถ้าตัวเองเป็นสุนทรภู่ อยากแก้ตอนจบเรื่องไหน ส่วนกิจกรรมที่มีอยู่ตอนนี้ เช่น เออาร์สแกน ต้องตั้งคำถามว่ากิจกรรมนั้นต้องการอะไร เช่น ความรู้ จินตนาการ หรือได้รูปกลับไปเท่านั้น ซึ่งหลักๆ ควรได้ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ หรือวิธีคิดของสุนทรภู่
“ควรพิจารณาหลักการเล่าเรื่องว่าควรเล่าอย่างไร รวมถึงหลักการพิพิธภัณฑ์ และหลักการท่องเที่ยวในจุดที่ลงตัว จะทำให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น”
สมุดไทย ‘ลายมือสุนทรภู่’ จริงหรือ?
อีกหนึ่งประเด็นที่ชวนตั้งคำถาม คือโบราณวัตถุที่ถูกนำจัดแสดงในห้อง “มหากวีสามัญชน” คือ สมุดไทยดำเส้นรงค์ เรื่องพระอภัยมณี ตอนนางสุวรรณมาลีจะฆ่าตัวตาย ป้ายจัดแสดงระบุว่าถูกค้นพบที่กุฏิแม่ชีในวัดเทพธิดารามเมื่อ 30 ปีก่อน ภิกษุที่นำชมบรรยายให้ฟังว่า ที่เห็นนี้เป็น “ลายมือสุนทรภู่” เนื่องจากพบที่วัด นับเป็นเหตุผลที่ไม่เพียงพอ หากจะนำเรื่องลายมือมาชูประเด็นเพิ่มความน่าสนใจ เหตุใดไม่ใช้หลักฐานดังที่ ศาสตราภิชานล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์เมืองเพชร เคยเปิดเผยว่า ในสมุดไทยเรื่อง “โคลงนิราศสุพรรณ” ที่มีร่องรอยการแก้ไขบทกลอน โดยเป็นลายมือเดียวกันตลอดทั้งเล่ม ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือที่สุดว่านั่นคือลายมือสุนทรภู่
“การจะไปบอกว่านั่นคือลายมือของสุนทรภู่ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ ถ้าไม่มีเหตุผลพอจะสร้างความสับสน ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทางที่ดีควรนำลายมือที่ผมเสนอออกมาเปรียบเทียบว่าเป็นลายมือเดียวกันไหม ถ้าเหมือนกัน ก็รับฟัง” ศาสตราภิชานล้อมกล่าว
สุดท้าย ประเด็นเรื่องตัวกุฏิ ซึ่งไม่มีหลักฐานชัดเจน ควรมีคำอธิบายหรือไม่ ว่าเป็นเพียงการสันนิษฐาน หรือ “สมมุติ” ขึ้น เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่สาระสำคัญว่าอาคารจะเป็นกุฏิของสุนทรภู่หรือไม่ เพราะสุนทรภู่เคยจำพรรษาที่วัดเทพธิดารามอย่างแน่นอน แต่จะอยู่กุฏิไหนไม่ใช่ประเด็นหลัก ขอให้มีการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดี
การนำสุนทรภู่ให้กลับมามีลมหายใจ อาจไม่ใช่แค่การสร้างภาพจำลองของสุนทรภู่และบุคคลร่วมสมัยให้มาโลดแล่นในภาพถ่าย แต่คือการนำเรื่องราวอันมีสีสันของชีวิต และผลงานมหาศาลของท่านมาให้ผู้คนเรียนรู้อย่างแท้จริง