นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2562 สศก. ร่วมกับสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารจัดการโซ่ความเย็น (Cold Chain) ในสินค้าพืชผักและผลไม้ (อาทิ เงาะ ทุเรียน มังคุด ขนุน กะเพรา แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง และ เห็ด) ของสถาบันเกษตรกรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และพื้นที่ใกล้เคียง รวม 5 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรี และตราด โดยระบบการบริหารจัดการโซ่ความเย็น (Cold Chain) ในสินค้าเกษตร เป็นระบบการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยว การขนส่งการเก็บรักษา การกระจายสินค้า และการขายของสินค้า รวมถึงการใช้อุปกรณ์เครื่องมือ และการปฏิบัติเพื่อให้สินค้าคงความสดและมีคุณภาพให้ยาวนานที่สุด โดยมีเงื่อนไขที่สภาพของอุณหภูมิที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อการเก็บรักษาในแต่ละกระบวนการผลิต
จากการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการโซ่ความเย็นที่มีประสิทธิภาพเริ่มจากการจัดการผลผลิตของเกษตรกร และจัดส่งมายังสถาบันเกษตรกร เพื่อจัดการส่งต่อไปยังตลาดปลายทาง สามารถรักษาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าผลผลิตได้เป็นอย่างดี เช่น การจัดการโซ่ความเย็นในสินค้าทุเรียน ของสหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฏ จำกัด จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นสหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจรวบรวมผลไม้เพื่อกระจายสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปีที่ผ่านมาสหกรณ์ได้รับการสนับสนุนงบประมาณโครงการไทยนิยมยั่งยืนจำนวนกว่า 29 ล้านบาท และสหกรณ์สบทบเพิ่มอีก 12 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารห้องเย็น พร้อมอุปกรณ์แปรรูปผลไม้ มีกระบวนการคัดแยกผลผลิตเกรด A และ B จะจำหน่ายเป็นผลสด ซึ่ง 90% ส่งไปจำหน่ายที่ประเทศจีน ที่เหลือ 10% จำหน่ายตลาดในประเทศ ได้แก่ แมคโครและเดอะมอลล์ ในขณะที่ทุเรียนตกเกรด มีกระบวนการจัดเก็บก่อนเข้าสู่กระบวนการแกะเปลือกในห้องเย็น แบ่งเป็น 4 เกรด ได้แก่ A B เนื้อดิบ และเนื้อเละ โดยเนื้อเกรด A B จะถูกนำไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -35 ถึง -70 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 1 ปี ปัจจุบันมี 250 ตันเนื้อ ซึ่งห้องเย็นสามารถรองรับได้สูงสุด 300 ตันเนื้อ หลังจากนั้นจะถูกส่งไปยังห้องเย็นของบริษัทในกรุงเทพต่อไป สำหรับเนื้อเละ จะนำไปกวนด้วยเครื่องกวน แล้วนำไปบรรจุถุงจำหน่ายให้บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด
นางสาวทัศนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สหกรณ์ที่ได้รับงบประมาณจัดสร้างห้องเย็น ทำให้เกษตรกรมีทางเลือกนำผลผลิตมาขายให้กับสหกรณ์ ส่งผลให้ราคาทุเรียนปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยมา จากปีที่แล้วกิโลกรัมละ 45 – 60 บาท ปีนี้เพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 60 – 70 บาท แสดงให้เห็นว่าการที่สหกรณ์เป็นตัวกลางรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรนั้น ส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพราคาผลไม้ของจังหวัดจันทบุรี และยังช่วยรัฐบาลประหยัดงบประมาณที่จะต้องนำไปใช้แทรกแซงราคาผลไม้ให้กับเกษตรกรปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สศก.จะใช้ข้อมูลการศึกษาที่ได้ในครั้งนี้มาวิเคราะห์เชิงลึกในภาพรวมของระบบการจัดการโซ่ความเย็นของสถาบันเกษตรกร เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการพัฒนาเพื่อการบริหารจัดการโซ่ความเย็นในสินค้าพืชผักและผลไม้ของสถาบันเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพต่อไป สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลผลการศึกษา สามารถสอบถามได้ที่ ส่วนนโยบายและแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ด้านการเกษตร กองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โทร. 0 2579 3757 ในวันและเวลาราชการ