พด.เขต 5 โชว์เคสเกษตรกรภาคอีสานสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้บนคันนาด้วยยูคาทนเค็ม
นางปราณี สีหบัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวางระบบการพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ได้เข้าไปดำเนินการส่งเสริมการปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาในพื้นที่ดินเค็ม ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อป้องกันปัญหาดินเค็ม ด้วยการปลูกไม้ยืนต้นเศรษฐกิจทนเค็ม เพื่อลดระดับน้ำใต้ดินและลดการเติมน้ำลงไปในแหล่งน้ำใต้ดิน ตัวอย่างที่บ้านเมืองเพีย ต.เมืองเพีย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
แปลงนาเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ พื้นที่ใช้ทำนาเป็นหลัก ปลูกทั้งข้าวเหนียว (พันธุ์ กข6) และข้าวเจ้า (พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105) เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 25 ไร่ ผลผลิตข้าวเฉลี่ย 200-250 กิโลกรัมต่อไร่ โดยกระบวนการดำเนินการเริ่มจากกรมพัฒนาที่ดินเข้าไปทำโครงการปลูกไม้ยืนต้น (ยูคาลิปตัส) ในพื้นที่ดินเค็ม ตั้งแต่ปี 2554 ด้วยการปรับรูปแบบแปลงนาลักษณะที่ 1 เป็นการก่อสร้างโดยการลบคันนาเดิมซึ่งมีขนาดเล็กและเป็นผืนนาแปลงเล็ก แล้วสร้างคันนาใหม่เป็นลักษณะคันดินโดยมีขนาดคันดินส่วนบนกว้าง 1.50 เมตร ขนาดคันดินส่วนล่างกว้าง 2.0 เมตร และความสูงคันดิน 0.50 เมตร
จากนั้นบนคันดินสามารถใช้ประโยชน์ปลูกไม้ยืนต้นซึ่งสามารถลดระดับน้ำใต้ดินโดยใช้ต้นยูคาลิปตัสที่ผลิตจากเนื้อเยื่อ สายพันธุ์ทนเค็ม H4 ปรับปรุงพันธุ์โดยบริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของเอสซีจี เปเปอร์ จุดเด่นที่คุณสมบัติทนแล้ง ทนโรค และทนแมลง เช่น แมลงแตนปมฝอย มีกิ่งเล็ก เปลือกบางทำให้ได้เนื้อไม้ที่มากขึ้น โดยให้ผลผลิตไม้สูงถึง 12-24 ตันต่อไร่ ที่อายุ 5 ปี และให้ผลผลิตเยื่อถึง 49% สามารถปลูกได้ทั้งในพื้นที่ราบระบายน้ำได้ดี และสามารถทนน้ำขังได้เป็นครั้งคราวในฤดูฝน เหมาะสำหรับการปลูกในที่ดินภาคตะวันตก ภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ที่มีปัญหาดินเค็มน้อยถึงปานกลาง ดินเป็นกรด ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียวปนทราย
สำหรับวิธีการปลูกหลังจากเกษตรกรได้กล้าพันธุ์ประมาณ 2-3 เดือน (สูงประมาณ 30 เซนติเมตร) จะขุดหลุมปลูกขนาดกว้าง 30 x ยาว 30 x ลึก 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยหมักประมาณ 1 กิโลกรัม และแกลบรองก้นหลุม ใน 2 ลักษณะ คือ
ลักษณะที่ 1 ปลูกสลับฟันปลา เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มชนกันและง่ายต่อการเดิน ระยะปลูกต้นห่างประมาณ 2 เมตร ห่างจากแนวคันนาประมาณ 50 เซนติเมตร ได้ประมาณ 100 ต้น ต่อไร่ (คันดิน 1 กิโลเมตร คือ 6.25 ไร่ และกรมพัฒนาที่ดินจะส่งเสริมปลูกในคันนาเพียง 2 ด้าน คือตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก)
ลักษณะที่ 2 ปลูกแถวคู่ ระยะห่างประมาณ 2 เมตร เพื่อง่ายต่อการจัดการ เช่น ดายหญ้าเพื่อทำแนวกันไฟ หรือ ง่ายต่อการใส่ปุ๋ย) ระยะเวลาในการปลูก คือหลังฝนแรกของปี การดูแลรักษา คือ ดายหญ้า และใส่ปุ๋ย โดยจะใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปีละ 2 ครั้ง (หลังฝนแรก และปลายฝน) ประมาณ 100 กรัมต่อต้น หลังจากนั้นจะทำการตัดขายประมาณปีที่ 4 ได้ต้นยูคาลิปตัสขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 – 3.0 นิ้ว (ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 16 ตันต่อไร่ รายได้ 1,200 บาทต่อตัน)
ทั้งนี้ในแปลงที่เข้าร่วมโครงการสามารถตัดต้นยูคาลิปตัสขายครั้งที่ 1 เมื่อปี 2558 (เนื้อที่ปลูกประมาณ 7 ไร่) ตัดปีแรกได้ 4 คันรถๆ ละ ประมาณ 10 ตัน รวมเป็น 40 ตัน ขายได้เงินประมาณ 25,000 บาท ราคาจ่ายตันละ 1,200 บาท หลังจากตัดตอแรก แล้วเหลือไว้ประมาณ 3 หน่อ ต่อ 1 ตอ ปี 2561 ตัดและขายไม้ได้ 3 คันรถ ได้เงินประมาณ 20,000 บาท ประโยชน์ทางตรงที่ได้รับแสดงให้เห็นว่าได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 บาทต่อไร่ นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์ภายในครัวเรือน เช่น ตัดหญ้าบนคันนาในพื้นที่ปลูกยูคาไปเลี้ยงวัว ไม้นำไปทำเล้าไก่ เล้าหมู เป็นต้น
ขณะที่ผลประโยชน์ทางอ้อม คือ ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น มีความหลากหลายทางชีวภาพ และสัตว์หลากหลายชนิดขึ้น เช่น นก ไส้เดือนดิน เป็นต้น สภาพภูมิอากาศโดยรวมดีขึ้น มีร่มเงาไม้ อากาศดี ที่สำคัญคือดินดีขึ้น ปัญหาดินเค็มน้อยลง สังเกตจากคราบเกลือที่ปรากฏลดลง อีกทั้งผลจากการตรวจผลวิเคราะห์ดินแล้วพบว่าค่าการนำไฟฟ้า (Ec) ลดลง จากเดิมปีละ 2-5 เดซิซีเมนต่อเมตร
จากการดำเนินการทั้งหมดเกษตรกรมีความพึงพอใจค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนโครงสร้างพื้นฐาน (คันดิน) นั้นกรมพัฒนาที่ดินเป็นผู้ลงทุน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นจากการขายไม้เศรษฐกิจบนคันนา สภาพเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น และมีความสุขในครัวเรือนเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีอาชีพรองรับสมาชิกในครัวเรือน