5 ความแตกต่างระหว่างวิกฤติ ‘ต้มยำกุ้ง’ และ‘โควิด-19’

เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแต่ละครั้งทำให้ประเทศหยุดการเติบโตไปไม่น้อยกว่า 2 ปี จากต้มยำกุ้งถึงโควิด-19 แม้ปัจจัยหลายๆ ด้านต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือโครงสร้างเศรษฐกิจ เผชิญบททดสอบความสามารถในการรับมือสถานการณ์ที่ไม่ปกติอีกครั้ง
#COVID19 #ต้มยำกุ้ง #bangkokbank #bangkokbanksme #sme

การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแต่ละครั้ง ย่อมไม่ได้มาจากเหตุปัจจัยเดียว แต่ต้องมีมูลเหตุมาก่อนหน้าและหลายๆ ปัจจัยมาสนับสนุนกัน จนบานปลายกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบต่อทุกภาคส่วน ซึ่งในปัจจุบันการระบาดของโควิด-19 ที่แต่เดิมไม่สามารถนับได้ว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นเพียงวิกฤติด้านสาธารณะสุข แต่เมื่อการระบาดลุกลามไปทั่วโลก ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจของโลกแทบทั้งหมดหยุดชะงัก ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลก เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านมิติสังคม พฤติกรรมผู้บริโภค การค้า การลงทุน และไม่มีทีท่าว่าจะยุติในเวลาอันสั้น

เมื่อองค์ประกอบปัจจัยทุกอย่างมารวมกัน จนทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดความผิดปกติอย่างมาก ผลจากการเกิดโรคอุบัติใหม่ จึงบานปลายเป็น ‘วิกฤติเศรษฐกิจ’ ในที่สุด และดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากกว่าตอนวิกฤติต้มยำกุ้งเสียอีก

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

Advertisement

ในที่นี้เราเลยถือโอกาสเอาทั้ง 2 เหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ คือ ต้มย้ำกุ้งและโควิด-19 มาแจกแจงว่ามีความแตกต่างที่เด่นชัดจากปัจจัยใดบ้าง

1.สมดุลการเงินบิดเบี้ยว สู่เหตุการณ์ฟองสบู่แตก

Advertisement

ต้มยำกุ้ง : เค้าลางก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เริ่มต้นในปี 2536 จากการอนุมัติให้เปิดบริการวิเทศธนกิจ คือการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้เงินจากต่างประเทศ มาปล่อยกู้ในประเทศต่อได้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในประเทศสูงราว 14 – 17% ต่อปี ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศประมาณ 5% ต่อปี มีส่วนต่างถึง 10% ก็ยิ่งทำให้อยากกู้เยอะๆ เพื่อมาปล่อยกู้ในประเทศแบบเร็วๆ มาตรฐานการปล่อยกู้ก็ไม่พิจารณากันมากนัก นับเป็นยุคที่คนกู้แบงก์ได้ง่ายและได้เยอะยุคหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อกู้ง่าย ก็จ่ายง่าย จนลืมคิดเรื่องความสามารถในการใช้หนี้ อันนำไปสู่การเกิด ‘ฟองสบู่แตก’ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยอัตราแลกเปลี่ยนเดิมอยู่ที่ดอลลาร์ละ 25 บาท พอฟองสบู่แตก บาทอ่อน ในปี 2540 (สัญญาณเห็นชัดตั้งแต่ปี 2539) ค่าเงินบาทถูกลอยแพทะยานไปดอลลาร์ละ 50 บาท ทำให้มีหนี้เพิ่มสองเท่าตัว ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเจ็บหนักมากในช่วงนั้น และเราก็คงคุ้นชินกับคำว่า NPL มาจากช่วงนั้นนี่เอง

โควิด-19 : ยุคนี้สถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง และมีเงินสำรองไว้เพียงพอสำหรับรองรับวิกฤติ ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินที่รัดกุม ความต่างตรงนี้จึงเห็นชัดว่า ภาคการเงินมีความเข้มแข็งมากกว่าช่วงต้มยำกุ้งปี 2540 ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีมาตรการทางการเงินเพื่อเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ บุคคลว่างงาน การชดเชยรายได้ ตลอดจนอัดฉีดงบประมาณในการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยใช้เงินกู้ภายในประเทศ 1.9 ล้านล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ปัจจุบันยังประสบปัญหากำลังซื้อหดและการว่างงานเพิ่มขึ้น ส่งออกติดลบ แต่ก็ยังโชคดีที่เงินสำรองในประเทศยังมีมากพอ ไม่ถึงขนาดต้องกู้ต่างประเทศ

2.ธุรกิจขนาดเล็ก โดนก่อน

ต้มยำกุ้ง : เพราะใหญ่จึงล้มดัง ช่วงนั้นผลพวงจากฟองสบู่แตกสู่วิกฤติการเงินแห่งเอเชีย (ตามที่ฝรั่งเรียก) ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ นักลงทุนโครงการใหญ่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเติบโตอย่างมากในช่วงปีพ.ศ.2530 – 2539 ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน สนามกอล์ฟ สวนเกษตร ต่างล้มกันระเนระนาด เนื่องจากผู้ประกอบการมีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อมาลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ผลจึงปรากฏตามที่ระบุในข้อที่ 1

โควิด 19 : ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ SMEs ตั้งแต่รายเล็ก ระดับกลาง จนไปสู่ธุรกิจรายใหญ่ อันสืบเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ประเทศ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศหยุดชะงัก ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในกระแสและมีเงินหมุนเวียนน้อยย่อมล้มไปก่อน ขณะที่บางธุรกิจยังเกาะกระแส เช่น อีคอมเมิร์ซ ออนไลน์เดลิเวอรี่ เครื่องมือแพทย์ สุขภาพ ยังโตได้ รวมทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่อยู่ในกลุ่มแนวหน้า คือภาคท่องเที่ยว โรงแรม และการค้าต่างประเทศ อยู่ในภาวะทรงตัว และรัดเข็มขัด แต่ยังไม่ถึงขนาดต้องเลิกกิจการ อย่างไรก็ตามแม้จะแตกต่างจากต้มยำกุ้งที่ใหญ่ล้มก่อน แต่เมื่อดูสัดส่วน SMEs ในประเทศปัจจุบันที่มีประมาณ 3 ล้านราย ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศ ดังนั้นนี่คือ ‘ระเบิดเวลาลูกหนึ่ง’ ที่รัฐจะต้องรีบเก็บกู้

3.ความรุนแรง และการฟื้นตัว

ต้มยำกุ้ง : ฟองสบู่แตกในวิกฤติปี 2540 ซึ่งเกิดขึ้นจากธุรกิจขนาดใหญ่ล้ม บานปลายไปสู่ปัญหาการเลิกจ้าง ลอยแพพนักงาน เศรษฐกิจตกต่ำ ค่าเงินบาทกู่ไม่กลับ ประเทศต้องกู้เงิน IMF มาฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยา เงินสำรองที่แบงก์ชาติใช้ไปเกือบหมดกับการยื้อค่าเงินบาท แต่ก็ยื้อไม่ไหว แม้ที่ผ่านมาจะมีตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี แต่ยังคงขาดดุลการค้าสะสมต่อเนื่อง

โดยดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยก็มีการขาดดุลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 และเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2539 ประเทศไทยต้องประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 14,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่หดตัวลง 1.9% จากที่เคยขยายตัวสูงถึง 24.82% สะท้อนให้เห็นสถานะรายได้ของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกในระดับสูง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นสำคัญ ทำให้กว่าจะฟื้นเศรษฐกิจได้ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี

โควิด-19 : แม้เศรษฐกิจไทยจะมีพื้นฐานที่ดีขึ้นกว่าในปี 2540 แต่การเติบโตของเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 โดยในปี 2558-2562 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี เทียบกับเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนเกิดวิกฤตทางการเงินในปี 2540 หรือในช่วงปี 2530 – 2538 ที่ขยายตัวเฉลี่ยราว 10% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาขีดความสามารถของธุรกิจทั้งทักษะแรงงานและการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ดังนั้นโควิด-19 ครั้งนี้ถือเป็นคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แม้จะมีการคาดว่าจะใช้เวลาในการฟื้นเศรษฐกิจราว 2 ปี แต่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงและการระบาดที่ยังไม่ยุติ คงไม่อาจบอกได้อย่างแน่ชัดว่าจะฟื้นกี่ปี

4.ค่าเงินบาท

ต้มยำกุ้ง : ในช่วงต้นอธิบายไปแล้วว่าตอนปี 2539 – 2540 ค่าเงินบาทอ่อนปวกเปียกอย่างไร ซึ่งนอกจากสาเหตุภายในประเทศแล้ว ยังมีสาเหตุจากต่างประเทศ ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่สั่งสมมานานดังกล่าว ทำให้นักลงทุนต่างชาติถือโอกาสโจมตีค่าเงินบาทของไทย โดยตั้งเป็นกองทุนมีชื่อเรียกว่า Hedge Funds ดูแลโดยพ่อมดการเงิน ‘จอร์จ โซรอส’ เรียกได้ว่าค่าเงินบาทช่วงนั้นเป็นของเล่นของบรรดานักเก็งกำไรต่างชาติ

โควิด-19 : อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทตลอด 2 ปีที่ผ่านมาแข็งค่าต่อเนื่อง จาก 33 บาท ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือว่าแข็งและแกว่งมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา หรือแม้แต่ในปัจจุบันช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤติโควิด-19 เงินบาทก็ไม่ยอมลดราวาศอก คงแข็งค่าท้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนสินค้าส่งออกไทยสูงกว่าคู่แข่ง และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะอ่อนไปก็ไม่ดี แข็งมากก็ขายของยาก ดังนั้นค่าเงินที่มีเสถียรภาพจึงปลอดภัยที่สุด

5.เทคโนโลยี

ต้มยำกุ้ง : เทคโนโลยีล้ำสมัยในปี 2540 คงประมาณเพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวที่ไว้สำหรับส่งข้อความหากัน การสื่อสารส่วนใหญ่ยังเป็นรูปแบบมีสาย อาทิ โทรศัพท์บ้าน ออฟฟิศ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพราะอินเทอร์เน็ตในยุคนั้นแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่แพร่หลายและใช้ในองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น ดังนั้นการรับรู้ข่าวสารจึงจำกัดเฉพาะสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และไม่ได้รวดเร็วเหมือนปัจจุบันนี้ ซึ่งทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของคนทั่วไปจำกัด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการประยุกต์การทำงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน เช่นการประชุมออนไลน์ การซื้อขายออนไลน์ ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจในปัจจุบัน

โควิด-19 : ปัจจุบันคือยุค 5 G เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีดิจิทัล จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างรุนแรง เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวกให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย อาทิ Smart Payment  เทคโนโลยี Online Delivery เทคโนโลยี e-Commerce เทคโนโลยี Digital Content & Entertainment และเทคโนโลยี Smart Learning รวมทั้งยังมีระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IoT) และอีกมากมายที่คนยุคนี้ใช้รับมือวิกฤติโควิด-19 และรวมทั้งสร้างโอกาสในช่วงวิกฤติด้วยการผสานกับเทคโนโลยี ทั้งเห็นชัดว่าด้วยพลังเทคโนโลยี ทำให้สังคมเรียนรู้และพร้อมรับมือวิกฤติโรคระบาด และวิกฤติเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ได้ดีกว่ายุคก่อน

สรุปการเปรียบเทียบทั้ง 5 ข้อ จะเห็นว่าวิกฤติต้มยำกุ้งกับวิกฤติโควิด-19 ในปัจจุบันมีความแตกต่างอยู่มาก อย่างไรก็ตามก็มีสิ่งที่เหมือนกัน คือทั้งสองเหตุการณ์ทำให้ประเทศเกิดปัญหาการว่างงานสูงขึ้น การใช้จ่ายภายในหดตัว และการส่งออกติดลบ เนื่องจากการแข่งขันที่สูงและแต่ละประเทศต่างมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งตอกย้ำว่าโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศเองยังไม่สามารถต้านกระแสอันเชี่ยวกรากของในช่วงวิกฤติได้ดีพอ

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

 อุตสาหกรรมไทยกับการฟื้นตัวจากพิษโควิด 19

รู้เพื่อตั้งรับ! 5 รูปแบบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ
คลิกหรือสายด่วน1333

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image