ลุ้น! วัคซีนโควิดฟื้นท่องเที่ยว โลกปลอดภัย เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอีกครั้ง

จากรายงานข่าวล่าสุดที่ระบุว่ารัสเซียได้มีการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ที่ชื่อว่า “สปุตนิค-ไฟว์” ล็อตแรกให้ประชาชนแล้ว และชาติมหาอำนาจหลายประเทศต่างเร่งทดสอบวัคซีน ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้อาจมีข่าวดีอีก นับสัญญาณที่ดียิ่งต่อการฟื้นเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการท่องเที่ยวไทยที่จะเปิดให้ต่างชาติเดินทางเข้าประเทศในเดือนตุลาคมนี้
#วัคซีนโควิด-19 #ฟื้นเศรษฐกิจ #bangkokbank #bangkokbanksme #sme

หลายคนตั้งความหวังว่าอย่างเปี่ยมล้น เมื่อชาติมหาอำนาจและไทยสามารถผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ออกมาใช้กับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย เมื่อทั่วโลกสามารถผลิตวัคซีนต้านโควิดได้แล้ว ทำให้มนุษย์เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัยสามารถเดินทางไปได้ทั่วโลก ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ซบเซาสุดขีดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับตลาดโลก หากทั่วโลกฟื้นตัวเร็วย่อมแผ่อานิสงส์ต่อไทย แต่ถ้าเลวร้ายลากยาว 2-3 ปี ไทยย่อมย่ำแย่ตามไปด้วย

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme

Advertisement

วิกฤติครั้งนี้บ่งชี้ว่า “โรคปฎิวัติโลก” ยกเครื่องสู่วิถีชีวิตใหม่ เนื่องจากโรคโควิดทุบทำลายเศรษฐกิจโลกรุนแรงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 150 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1870 แต่หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโรคโควิดทำให้ทุกประเทศต้องหันกลับมาเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ เพราะกว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวได้คงต้องใช้เวลานานหลายปี โดยสิ่งที่ทั่วโลกต้องทำ คือการปรับตัวให้เร็วที่สุดเพราะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศยังทรงกับทรุด ส่งออกยังมีปัญหาจากการล็อคดาวน์เมือง อีกทั้งยังเกิดสงครามการค้า (Trade war) ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ระลอกใหม่ ยิ่งย่อมจะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวช้าไปอีก เพราะทุกชาติกำลังบอบช้ำจากโรคโควิด-19 เล่นงานอย่างหนัก

อย่างไรก็ตามภายใต้วิกฤติยังมีโอกาส เพราะผลจากสงครามการค้าทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกทั้งที่เป็นของจีน ญี่ปุ่น หรือไต้หวัน ต่างเตรียมย้ายฐานการผลิตจากจีนไปมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และไทย ซึ่งการย้ายฐานครั้งนี้เป็นโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยพอสมควร ในการเจรจาร่วมลงทุน หรือร่วมซัพพลายเชน แต่ก็ต้องดูว่านักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ย้ายฐานมาลงทุนในไทยจะมาในรูปแบบไหน จะเป็นการลงทุนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมไทย หรือเป็นการยกมาทั้งซัพพลายเชน หากเป็นอย่างหลังก็คงไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการไทยเท่าไรมากนัก

 ทางรอดเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก

Advertisement

เมื่อภาคการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซบเซา ทางรอดของเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้าได้อย่างตลอดรอดฝั่งนั้น คุณศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด(นีโอ) ให้ความคิดเห็นว่า

รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้กลับมาคึกคักให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยใช้สินค้าในประเทศ กระตุ้นการใช้จ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มีรายได้สูงให้หันมาใช้จ่ายเงินมากขึ้น เพราะการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้จะมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปได้ ส่วนกลุ่มที่มีเงินน้อยหรือไม่มีก็ควรใช้วิกฤติครั้งนี้ทบทวนตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเพื่อพยุงตัวให้อยู่รอดไปก่อน

ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตลอดทั้งเร่งงบประมาณลงทุนต่างๆ ให้ออกมาเร็วที่สุดเพื่อจะกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินไหลในระบบเศรษฐกิจ สามารถที่จะช่วยให้สถานการณ์โดยรวมผ่อนคลายไปได้เปราะหนึ่ง อีกทั้งหากเป็นไปได้อยากให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเดินหน้าผลักดันนโยบายที่ดี เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการและประชาชนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนรัฐบาลต้องเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก เร่งรัดงบประมาณ 4 แสนล้านบาทให้ลงสู่ระบบโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่กำลังขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก

กลุ่มพรีเมียมวางแผนเที่ยวพักผ่อนช่วง “ไฮซีซั่น”

เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนออกเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วไทย ซึ่งปัจจุบันคนไทยเริ่มวางแผนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงที่เหลือของปี เพื่อพักผ่อน คลายความตึงเครียดจากการทำงานหนักมาทั้งปี หรือเที่ยวสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว คู่รัก ประกอบกับภาครัฐและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงผู้ประกอบการได้จัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ

คุณศักดิ์ชัย มองว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวปี 2563 จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเที่ยวในประเทศมากขึ้น สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 418,000 ล้านบาท โดยกลุ่มแรกที่เริ่มออกมาท่องเที่ยว คือนักท่องเที่ยวกลุ่มพรีเมียมคิดสัดส่วนเป็น 12% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มดังกล่าวยังเป็นนักท่องเที่ยวหลักของการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม และไลฟ์สไตล์ด้วย ประกอบกับกลุ่มเจเนอเรชั่นวาย (Gen Y) ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุระหว่าง 23-40 ปี หันมาชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวกิจกรรมกลางแจ้ง และผจญภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดำน้ำ เล่นกอล์ฟ เดินป่า ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ฯลฯ ดังนั้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นอีกหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างปรับกลยุทธ์ตั้งรับกับวิกฤติโรคโควิด มาตั้งแต่เริ่มต้นของการแพร่ระบาดของไวรัส จนถึงขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว แต่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กหรือรายใหญ่ยังต้องปรับตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งกูรูทางด้านเศรษฐศาสตร์ ประเมินว่า คงลากยาวไปถึงปี 2564 หรือจนกว่าจะมีวัคซีนต้านโควิด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชากรทั่วโลกว่าไปไหนมาไหนแล้วมีความปลอดภัย เมื่อนั้นสถานการณ์ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถึงจะกลับมาคึกคักเหมือนปกติ

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

วิวัฒนาการและความหวังในการผลิตวัคซีนต้านโควิด 19

ความน่าจะเป็น! การฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวไทย

Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ
คลิกหรือสายด่วน1333

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image