สิ่งที่เปลี่ยนไปเมื่อโครงการ TO BE NUMBER ONE ได้เข้าไปอยู่หลังกำแพงปูน

นายมนตรี บุญนาค  ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง  เล่าถึงที่มาของการนำโครงการ TO BE NUMBER ONE  เข้ามาดำเนินการในเรือนจำว่ากรมราชทัณฑ์ ได้น้อมนำเอาแนวทางโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี  มาปรับใช้กับผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานตั้งแต่ปี 2554  และเรือนจำกลางบางขวางได้รับนโยบายจากกรมราชทัณฑ์  ดำเนินการและจัดทำโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด TO BE NUMBER ONE โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกชมรมฯจำนวน 5,490 คน หรือร้อยละ 98.17 (ยอดผู้ต้องขัง ณ วันที่ 20 มกราคม 64 จำนวน 5,592 คน)  ซึ่งแต่ละเดือนจะมีผู้ต้องขังสมัครเป็นสมาชิกชมรมฯและบันทึกเข้าในระบบทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน

การดำเนินการโครงการ TO BE NUMBER ONE ในเรือนจำเริ่มตั้งแต่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังสมัคร  เป็นสมาชิกโครงการและมีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกให้เป็นคณะทำงาน คัดเลือกประธานชมรม รองประธานชมรม  เลขานุการ  เหรัญญิก กรรมการหาทุน กรรมการกิจกรรม  เป็นต้น กิจกรรมต่างๆในโครงการ TO BE NUMBER ONE นอกจากจะช่วยให้ผู้ต้องขังได้รับการแก้ไข ฟื้นฟูสภาพจิตใจไปในทางที่ดีขึ้น ยังส่งเสริมการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังให้มีความประพฤติดีอยู่ในระเบียบวินัยของเรือนจำ ภายหลังพ้นโทษก็จะไม่กลับมากระทำผิดซ้ำอีก กิจกรรมยังช่วยให้ผู้ต้องขังได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้ออกกำลังกาย ได้รับความบันเทิง ผ่อนคลาย ส่งเสริมให้ผู้ต้องขัง ที่มีความรู้ความสามารถด้านการแสดงต่างๆ เช่น การแสดงออกบนเวที ได้ใช้ทั้งความรู้ ความสามารถของตนเองที่มีอยู่  และยังนำไปต่อยอดเป็นอาชีพที่หาเลี้ยงตนเองภายหลังพ้นโทษได้

Advertisement

นายมนตรี เล่าต่อไปว่าหากจะให้เปรียบเทียบผลที่ได้รับจากการนำโครงการ TO BE NUMBER ONE เข้ามาดำเนินการในเรือนจำ ก่อนนำโครงการฯเข้ามาผู้ต้องขังจะค่อนข้างเครียดเพราะมุ่งมั่นกับการเรียน การศึกษา การฝึกวิชาชีพ ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกิจกรรมที่เป็นหมู่คณะ ต่างคนต่างอยู่ กิจกรรมนันทนาการมีน้อย อุปกรณ์ไม่เพียงพอ ไม่มีงบประมาณที่จะสนับสนุนด้านนันทนาการมากนัก ไม่มีเวทีแสดงความสามารถของตัวเอง ไม่มีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่หลังจากที่ได้นำโครงการ TO BE NUMBER ONE เข้ามาในเรือนจำ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือมีกิจกรรมหลากหลายที่ช่วยส่งเสริมด้านนันทนาการมากขึ้น ทำให้ผู้ต้องขังได้ใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ได้รับโอกาสในการแสดงความสามารถของตนเอง ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นหมู่คณะเกิดความสามัคคี มีเวทีแสดงออกถึงแนวคิดและมีส่วนร่วมในการคิดบวก ผู้ต้องขังได้ผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดในเรือนจำ มีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมของโครงการและยังเป็นผู้นำในการดำเนินกิจกรรมทุกอย่างภายในเรือนจำด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อเรือนจำในด้านการควบคุมผู้ต้องขัง ลดความเสี่ยง ต่อการก่อเหตุทะเลาะวิวาทและการก่อเหตุจลาจลในเรือนจำด้วย

Advertisement

ส่วนกรณีของ“พาวเวอร์แพท”นั้น  นายมนตรีเล่าว่า “แพท”ได้สมัครเป็นสมาชิกโครงการ TO BE NUMBER ONE ตั้งแต่ปี 2561 และเริ่มมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมของแดน 6 ในฐานะที่เคยเป็นคนดัง นักร้องเก่า  และในปี 2562 ได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรม TO BE NUMBER ONE ของแดน 6

“แพท” ได้เริ่มมีบทบาทเป็นผู้นำการทำกิจกรรมนันทนาการ โดยนำทีมตัวแทนของแดน 6  เข้าประกวดการร้องเพลงโครงการ TO BE NUMBER ONE ในเรือนจำ 2 ครั้ง เมื่อปี 2561-2562 จากนั้นได้ร่วมพัฒนาวงดนตรีและการเล่นดนตรีในแดน 6 เรื่อยมา และยังได้ประสานเพื่อนๆนักดนตรีนำอุปกรณ์ดนตรี เข้ามาบริจาคเพิ่มเติมให้เรือนจำ เนื่องจากเห็นว่าอุปกรณ์ดนตรีในเรือนจำยังมีไม่ครบและขาดแคลนอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่นั้นมาเมื่อทางเรือนจำมีกิจกรรมหรือเชิญวงดนตรีภายนอกเข้ามาแสดงให้ผู้ต้องขังดูหรือจัดประกวดวงดนตรีในเรือนจำ“แพท”  มักจะได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีดนตรีบ่อยๆ

ในฐานะประธานชมรมTO BE NUMBER ONE ของแดน 6 “แพท”  เป็นกำลังสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆของโครงการมากมาย ได้แก่ การเล่นดนตรีโครงการรักวินัยของเรือนจำ เป็นการเล่นดนตรีเปิดหมวกช่วยหาทุนเข้ากองทุนโครงการ TO BE NUMBER ONEของเรือนจำกลางบางขวางในช่วงพบญาติใกล้ชิด นอกจากนี้“แพท”ยังได้สอนผู้ต้องขังอื่นร้องเพลง แต่งเพลง ร่วมทำเพลงกับผู้ต้องขังจนมีผลงานเพลงหลายเพลง เช่น Song for friend เพลงเพื่อเพื่อน 5 เพลง ได้แก่ เพลงต้องคำสาป , Hello mama , แค่เปลี่ยน,ของมีตำหนิ  และเพลงรูปใบสุดท้าย และยังได้ร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับศิลปินเยี่ยมเรือนจำ  เช่น เสกโลโซ ฯลฯ

“แพท ได้รับพระราชทานอภัยโทษและได้เข้าอบรมโครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว  โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวังกรมราชทัณฑ์   รุ่นที่ 1/2  ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2563- 3 มกราคม 2564  และได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image