นอกจากการเฟ้นหาทีมงานเก่งๆ มาร่วมงานด้วยแล้ว การส่งเสริมบุคลากรให้มีทักษะด้าน Soft Skill ไปพร้อมๆ กับ Hard Skill ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะกับตำแหน่ง Team Lead หรือผู้จัดการ ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเป็นไปของลูกน้อง และสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีมงานในภาวะต่างๆ ซึ่งการที่ทีมมีหัวหน้าที่มีคุณภาพ รู้จักการบริหารคน จะช่วยให้สามารถครองใจผู้ร่วมงานได้สำเร็จและทำงานต่างๆ ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดได้ ดังนั้น องค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยปัจจุบันได้มีการคิดค้นหลักสูตร Situational Leadership Training สร้างทักษะผู้นำ เพื่อเตรียมความพร้อมการเป็นผู้นำในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวคืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง ตามมาดูกันเลย
หลักสูตร Situational Leadership Training คืออะไร?
Situational Leadership Training คือหลักสูตรที่ใช้ในการอบรมผู้จัดการทั่วโลกกว่า 5 ล้านคน โดยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีการสอนกันมากว่า 35 ปีแล้ว โดยโมเดลนี้จะช่วยให้ผู้จัดการสามารถวิเคราะห์ความต้องการของบุคลากรหรือลูกทีมที่ตัวเองดูและได้ และสามารถปรับสไตล์การเป็นผู้นำที่สามารถตอบสนองกับความต้องการของสมาชิกในทีมได้อย่างลงตัว เนื่องจากลูกทีมแต่ละคนล้วนมีความต้องการที่แตกต่างกัน โดยผู้ที่ลงเรียนหลักสูตรนี้จะได้เรียนรู้การพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
- การเป็นผู้เริ่มต้นที่มีความกระตือรือล้น
- การเป็นผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง
- การใช้พฤติกรรมที่เหมาะสมในการชี้นำและสนับสนุน
- กระจายอำนาจ เพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาตนเองของบุคลากร
หลักสูตร Situational Leadership Training เหมาะกับใคร?
หากคุณเป็นผู้บริหารองค์กรและต้องการให้พัฒนาบุคลากรเพื่อส่งเสริมผลลัพธ์ทางธุรกิจ หลักสูตร Situational Leadership Training นี้ตอบโจทย์อย่างมาก สำหรับ
- ผู้บริหารระดับสูง ที่พยายามสร้างวัฒนธรรมที่จูงใจพนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร
- ผู้จัดการโครงการ ที่ต้องการพัฒนาตนเองด้านการจัดการ เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- ผู้จัดการอาวุโส หรือ ผู้จัดการระดับกลาง ที่ต้องการเร่งพัฒนาประสิทธิผลของบุคลากร ด้วยการเพิ่มอัตราการรักษาบุคลากรไว้ในองค์กร เพื่อลดต้นทุนด้านทรัพยากรมนุษย์
ประโยชน์ของ หลักสูตร Situational Leadership Training
หลักสูตร Situational Leadership Training นับว่ามีความสำคัญอย่างมากและองค์กรไม่ควรมองข้าม เนื่องจากการมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมผลลัพธ์ทางธุรกิจให้แก่องค์กรเช่นเดียวกัน โดยในส่วนของผู้จัดการเองจะได้พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำที่ดีขึ้น สามารถให้การชี้แนะและสนับสนุนลูกทีมได้อย่างเหมาะสม และสร้างคุณค่าให้บริษัทได้มากขึ้น
และในส่วนขององค์กรเอง หากพนักงานรู้สึกว่าได้รับความเคารพ รู้สึกมีคุณค่า ก็จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแรงจูงใจในการทำงาน และกระตือรือล้นที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาให้ธุรกิจมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น