สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลิงฮังสามัคคี จำกัด อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เป็นองค์กรทางการเงินระดับชุมชน ได้รับรางวัลสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2565 ยึดหลักยุทธศาสตร์ 4 ด้าน มีการดำเนินงาน คือ 1. สร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงทางการเงิน 2. พัฒนาการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 3. พัฒนาองค์กรให้มั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน และ4. พัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกและสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม มีการวางแผนปฏิบัติการและบริหารงานอย่างเป็นระบบ สร้างจิตสำนึก การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และผู้ตรวจสอบกิจการ โดยคณะกรรมการดำเนินการ จะออกไปพบปะกับสมาชิกในแต่ละหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องครบทั้ง 19 หมู่บ้าน เพื่อชี้แจงข่าวสารของสหกรณ์และรับฟังปัญหาของสมาชิก ซึ่งในแต่ละหมู่บ้านจะมีอนุกรรมการกลุ่มหมู่บ้านเป็นผู้ประสานงานระหว่างสหกรณ์และสมาชิก ในแต่ละเดือนผู้รับหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการกลุ่มจะเป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมประจำเดือนกับคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ เพื่อนำปัญหาหรือข้อเสนอแนะจากสมาชิกในกลุ่มหมู่บ้านของตัวเองมานำเสนอในที่ประชุม ถือเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมให้สมาชิกเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานของสหกรณ์
คุณเติม แก้วมุกดา ประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลิงฮังสามัคคี จำกัด เปิดเผยว่า สหกรณ์ฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2541 ปัจจุบันมีสมาชิก 2,891 ราย มีคณะกรรมการดำเนินการ จำนวน 15 คน ถือได้ว่าเป็นองค์กรทางการเงินที่มีความเข้มแข็ง ความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนชนบท ปัจจุบัน สหกรณ์ดำเนินธุรกิจรับฝากเงิน ปล่อยเงินกู้ เพื่อบริการสมาชิกเป็นหลัก ดำเนินธุรกิจโดยใช้เงินทุนดำเนินการของสหกรณ์ 100% ในรอบปีที่ผ่านมา สหกรณ์มีกำไร 4.1 ล้านบาท เงินปันผล 2.6 ล้านบาท และเงินเฉลี่ยคืน 5.9 แสนบาท และในรอบ 3 ปี สหกรณ์ฯ มีทุนของสหกรณ์ ทุนสำรอง และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี มีการจ่ายเงินเฉลี่ยคืนให้แก่สมาชิกตามส่วนธุรกิจ เป็นไปตามหลักการสหกรณ์ และจ่ายสวัสดิการให้แก่สมาชิก ทั้งด้านการศึกษา สงเคราะห์รักษาพยาบาล และด้านอื่น ๆ อีกด้วย
“การดำเนินงานของสหกรณ์ฯ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกๆ ด้าน ผ่านโปรแกรมเครดิตก้าวหน้าเป็นเครื่องมือให้สมาชิกสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของตัวเองและทราบข่าวสารความเคลื่อนไหวของสหกรณ์ที่สำนักงานสหกรณ์ ในอนาคตจะปรับเปลี่ยนไปใช้แอปพลิเคชั่นตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์แนะนำ เพราะจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิกมากขึ้น รองรับปริมาณธุรกิจที่จะเติบโตขึ้น โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์คอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของกฎระเบียบข้อบังคับให้เป็นไปตามหลักการสหกรณ์ ซึ่งกรมฯ จะมีตัวแทนเข้าร่วมประชุมประจำเดือนกับคณะกรรมการดำเนินงานเพื่อให้ข้อเสนอแนะในทุก ๆ ด้าน”
นอกจากการดำเนินธุรกิจทางด้านการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักขององค์กรแล้ว สหกรณ์ฯ ยังมีการส่งเสริมด้านอาชีพให้แก่สมาชิกด้วย โดยเฉพาะการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของสมาชิกส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ในอดีตจะเป็นการทำนาแบบพึ่งพาสารเคมี ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง อีกทั้งได้ผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สหกรณ์ฯ จึงมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้สมาชิกปลูกและอนุรักษ์ฟื้นฟูพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน ชื่อพันธุ์ “หอมดอกฮัง” โดยให้สมาชิกปลูกข้าวแบบอินทรีย์ ทำนาแบบประณีตและร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง 300 สายพันธุ์ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตให้กับสมาชิก รวมถึงแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สหกรณ์ฯ ทำหน้าที่เป็นแหล่งความรู้ด้านวิชาการ สนับสนุนด้านสินเชื่อ และการตลาด รวมทั้งประสานหน่วยงานร่วมบูรณาการ ให้คำแนะนำสมาชิกในการผลิตข้าว ส่งเสริมให้สมาชิกรวมตัวจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อรวบรวมผลผลิตเป็นข้าวสารบรรจุถุงภายใต้แบรนด์ “ข้าวหอมดอกฮัง” โดยสหกรณ์ฯ จะช่วยทำการตลาดผ่านเครือข่ายสหกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ส่งเสริมให้ลูกหลานของสมาชิกที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยพัฒนาตั้งแต่การผลิต ทำบัญชี ไปจนถึงการทำตลาด ส่งผลให้สมาชิกได้รับผลผลิตจากการปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น จำหน่ายได้ในราคาสูง ทั้งยังช่วยลดการใช้สารเคมี เป็นการรักษาสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมอีกทาง
ด้าน คุณสมัย มังทะ สมาชิกรุ่นแรกของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลิงฮังสามัคคี จำกัด เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพทำนาเป็นหลัก เมื่อก่อนทำนาหว่านและพึ่งพาสารเคมี ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง แต่ได้ผลผลิตต่ำเฉลี่ย 250 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อมาได้เข้าร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน “หอมดอกฮัง” ได้รับความรู้ในการเลือกข้าวพันธุ์ดี เปลี่ยนวิธีทำนาจากนาหว่านมาเป็นนาดำ เพื่อให้ต้นข้าวมีระยะห่างระหว่างต้นช่วยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตดี ได้ผลผลิตเพิ่ม นอกจากนี้ สหกรณ์ยังแนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี โดยสหกรณ์ฯ ได้จัดหาวิทยากรมาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้สมาชิกทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองจากวัสดุที่มีในท้องถิ่น ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงจากเดิมถึง 50% ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 350 กิโลกรัมต่อไร่ และเมื่อนำมาจำหน่ายเป็นข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ “ข้าวหอมดอกฮัง” ก็ได้ราคาที่สูงถึงกิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งสูงกว่าข้าวพันธุ์ทั่วไปที่จำหน่ายตามท้องตลาดในราคาเพียงกิโลกรัมละ 20 กว่าบาท ทำให้มีรายได้จากการทำนาเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 50,000-60,000 บาทต่อปี ทำให้สามารถชำระหนี้สหกรณ์ได้ตามสัญญา
“ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของคณะกรรมการดำเนินการ และความโปร่งใส ของสหกรณ์ฯ สมาชิกสามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวของสหกรณ์และข้อมูลของตัวเราเองได้ตลอดผ่านโปรแกรมเครดิตก้าวหน้า สหกรณ์มีการจ่ายเงินปันผล และสวัสดิการต่าง ๆ ที่เป็นระบบ อีกทั้ง ยังคอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาในการประกอบอาชีพ ทั้งที่เป็นอาชีพหลักคือทำนา และอาชีพเสริมหลังนา เช่น การปลูกผัก ปลูกถั่ว เพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงให้คำแนะนำในการบริหารจัดการด้านบัญชี ทำให้เรารู้รายรับรายจ่ายและชำระเงินกู้สหกรณ์ได้สะดวก รวดเร็ว” คุณสมัย กล่าว