เปิดใจ ปลัดมหาดไทยระดมสรรพกำลัง ช่วยชาวบ้าน ยามเศรษฐกิจถดถอยให้สามารถดำรงชีพได้มั่นคงปลอดภัย

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เผยถึงภารกิจสำคัญในช่วงนี้ของกระทรวงมหาดไทย คือ การช่วยให้พี่น้องประชาชนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ อยู่รอดปลอดภัย ฟันฝ่าวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยที่ได้ขับเคลื่อนมาต่อเนื่อง

ปลัด มท.ระบุว่า  พวกเราได้พูดคุย ในการประชุมผู้บริหารในกระทรวงแล้วมองว่าปี พ.ศ. 2566 นี้เศรษฐกิจจะแย่แน่นอน ซึ่งสภาวะนี้เป็นกันทั้งโลก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งเกิดจากสภาวะที่มีสงครามที่ยังไม่รู้วันจบสิ้นระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทั้งหลายที่เปรียบเสมือนเป็นระเบิดเวลาอันนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานใน ส.ค.ส. ไว้  ทำให้เราต้องขับเคลื่อนงานอย่างเป็นจริงจัง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกครัวเรือน

ที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่ามีตัวชี้วัดอีกหลายปัจจัย นอกเหนือจากโรคระบาดที่เราเพิ่งผจญกันมา ที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้พวกเราก็ประมาณการและวิเคราะห์กัน จนมองเห็นว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงที่จะลำบาก นักท่องเที่ยวก็จะมายากเพราะทุกประเทศก็เศรษฐกิจตกต่ำเหมือนกันหมด การที่เราคิดว่าจะพึ่งพาเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวก็อาจจะเหนื่อย ขณะที่เรื่องการลงทุน ภาคอุตสาหกรรมต่างๆบ้านเราก็เหนื่อยเพราะว่าข่าวคราวที่เราได้ยินได้รับฟังกันเสมอในรอบปี 2 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนก็ชี้ว่ามีเม็ดเงินลงทุนที่จะลงทุนในประเทศนี้มีมาก แต่ว่าเป็นเพียงไม่กี่ราย พวกเราชาวมหาดไทย ในฐานะที่มีพันธกิจดูแลประชากรในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในชนบทจึงตระหนักในเรื่องนี้และมีภารกิจหลักต้องเร่งขับเคลื่อน

2 เรื่อง ที่สำคัญที่สุดที่การกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการร่วมกับสมาคมแม่บ้านมหาดไทยก็คือเรื่องของการที่จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัด-นายอำเภอเป็นผู้นำ ในการรณรงค์ส่งเสริมให้คนพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการน้อมนำเอาแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในเรื่องของการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและเรื่องของการที่จะให้มีแหล่งอาหารเป็นของตัวเอง มีไข่ไก่ของตัวเอง ไข่เป็ดของตัวเอง มีสัตว์เลี้ยงต่างๆมีพืชผักต่างๆ ซึ่งโครงการนี้กรมการพัฒนาชุมชนในส่วนกลางเราเป็นเจ้าภาพ ท่านอธิบดี พช. ท่านได้กรุณาตั้งเป้าไว้ว่าภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2565 ทุกครัวเรือนจะมีพืชผักสวนครัวของตัวเองครบทุกครัวเรือน

Advertisement

ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันนี้เป็นเรื่องเชิงครอบครัวที่เราจะพยายามทำให้ประชาชนมีอาหารปลอดภัย และลดรายจ่ายในการที่จะต้องซื้อผักผลไม้ ในครัวเรือนตกเฉลี่ยครัวเรือนละ 50 บาทต่อวัน ถ้าเราลดได้ โดยที่เรามี เป้า20 ล้านครัวเรือน วันหนึ่งเราจะสามารถประหยัดได้ถึง 1,000 ล้านบาท และใน 1 ปี  เราจะประหยัดเงินได้ถึง 3 – 4 แสนล้านบาท คำว่าประหยัดในที่นี้ หมายความว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋าพี่น้องไม่ต้องควัก ออกสามารถเอาไปลงทุนเอาไปทำอะไรต่างๆ ได้ ฟังดูเหมือนอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ในการส่งเสริมให้คนปลูกผักสวนครัวส่งเสริมให้คนเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เอาไว้ประจำครัวเรือนแต่ว่าจริงๆ แล้วถ้านับรวมกันเราจะช่วยทำให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงไม่ต้องกินยาพิษทุกวัน เนื่องจากพืชผักที่ซื้อมาจากตลาดเราก็ไม่รู้ว่าที่ไหนใช้สารเคมีใช้ยาฆ่าแมลงบ้าง แล้วก็ทำให้ไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋า อีกทั้งยังทำให้มีกิจกรรมระหว่างครัวเรือนมีความรัก มีความสามัคคีร่วมกัน ในส่วนนี้ก็จะทำอย่างเต็มที่ในแง่ของครัวเรือน

ในแง่ของเชิงอาชีพเราก็จะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคกหนองนา ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงพระราชทานแนวคิดและคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ในเรื่องของการทำอารยะเกษตรที่จะทำให้คนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในการมีความมั่นคงเรื่องน้ำ ลดความเดือดร้อนจากน้ำท่วม สามารถแก้ไขปัญหาน้ำแล้งและในขณะเดียวกันก็จะมีพืชที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบันในเรื่องอาหารการกินและเป็นประโยชน์ในอนาคตของการมีไม้ที่ใช้สำหรับสร้างที่อยู่อาศัย ไม้สำหรับทำเครื่องไม้ใช้สอย ระยะสั้นเราจะมีพืชผักต่างๆ มีข้าวกิน ในระยะยาวเรามี ทุเรียน มีมะม่วง มีขนุน มีสภาวะที่เป็นไม้ยืนต้น และที่สำคัญที่สุดเราจะเลิกใช้สารเคมีเพราะเราจะน้อมนำเอาทฤษฎีใหม่ที่มีมากกว่า 40 ทฤษฎีของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่

Advertisement

ขณะเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่10 ของเรา ท่านทรงศึกษาทฤษฎีอย่างลึกซึ้งทรงเรียกอารยเกษตร ทรงมองเห็นว่าถ้าเราได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่สวยงามที่ดี จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพจิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งส่วนตัวผมเองก็น้อมนำและทำที่อยู่ โดยนำพื้นที่ดินที่มีอยู่มาปรับปรุงทำพัฒนาพื้นที่ให้มีทั้งโคกทั้งหนองมีทั้งนามีทั้งเลี้ยงเป็ด ภรรยาผมเองก็มีเป็ด 400 ตัว ใครอยากกินไข่ก็ไม่ต้องเสียเงินเพราะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเขาบอกว่านอกจากที่เราจะพอกินพออยู่พอใช้พอร่มเย็นในตัวของเราเองแล้ว ยังสอนให้เรารู้จักแบ่งปัน ทำทานทำบุญ ไม่ได้สอนให้คนเห็นแก่ตัวซึ่งนี่คือนิสัยของคนไทยดั้งเดิมและลักษณะของการทำพื้นที่ก็เป็นพื้นที่ที่ปู่ย่าตายายเราทำมาเก่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ถูกค้นพบจากสิ่งที่เคยมีในอดีตถึงมาเป็นอารยเกษตรที่เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทางกระทรวงมหาดไทยเราจะขยายผลต่อไป

ในแง่ของการพึ่งพาตนเองที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือการรวมกลุ่มการประกอบอาชีพในโครงการแปรรูป ในเรื่องการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เป็นเรื่องข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่ฟังก์ชันก็คือกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งเรื่องนี้เราโชคดีคนไทยเราโชคดีที่ได้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา  ทรงพระราชทานแนวทางและมีพระวินิจฉัย ที่ท่านทรงแนะนำแก่ชาวบ้าน เริ่มตั้งแต่เรื่องผ้า โดยมีหัวใจสำคัญเรื่องการรวมกลุ่ม และการใช้สีจากธรรมชาติ  ทรงมีน้ำพระทัยทำให้ชาวบ้านหลายครัวเรือนอยู่รอดพ้นจากวิกฤตด้วยพระอัจฉริยภาพและทรงลงมาช่วยชาวบ้านอย่างติดตามอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ผมนึกถึงแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเรียกว่า ‘การระเบิดจากข้างใน’ คือ พัฒนาชุมชนให้อยู่รอด พอมีพอกิน เข้มแข็ง และมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้หัวใจการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างความเข้มแข็ง ต้องเริ่มจากในระดับชุมชน-หมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใดๆ เราทุกคนทุกครัวเรือนทุกชุมชนหมู่บ้านสามารถอยู่รอดปลอดภัย ฝ่าฟันทุกวิกฤตได้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image