ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) อาการปวดเรื้อรังที่ไม่ใช่เฉพาะชาวออฟฟิศ ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย โดยคำว่าออฟฟิศซินโดรมเกิดจากพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆ บ่อยๆ จนเกิดอาการล้าของกล้ามเนื้อไม่ว่าจะเป็นคอบ่าไหล่ซึ่งโรคนี้สามารถแบ่งได้ 3 ระยะ
- ระยะแรก คือ ปวดคอตึงบ่าไหล่เมื่อนั่งทำงานไประยะเวลาหนึ่งและเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ อาการปวดหายก็จะไปได้เอง
- ระยะปานกลาง จะเกิดอาการปวดคอบ่าไหล่และสะบักร่วมด้วย บางรายมีการปวดกล้ามเนื้อ ตึงที่บ่า เมื่อคลำบริเวณบ่าจะพบก้อนนูนและปวดร้าว ซึ่งตรงนี้จะเรียกว่าจุดกดเจ็บหรือว่า Trigger Point ในบางรายอาจจะปวดร้าวถึงกกหู ซึ่งระยะปานกลางมักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำพฤติกรรมและอิริยาบถเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน
- ระยะปวดสูงสุด จะมีอาการปวดคอบ่าสะบักและไหล่อยู่ตลอดเวลา แม้ขณะพักก็ยังรู้สึกปวดและร้าวลงแขนอย่างชัดเจน กล้ามเนื้อบ่าทั้งสองข้างจะมีอาการเกร็งนูนอย่างเห็นได้ชัด บางรายมีการเกิดภาวะอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและยังเกิดอาการปวดร้าวกกหูมีอาการคล้ายกับโรคไมเกรนเพราะมีอาการตาพร่ามัวและรู้สึกปวดหัวข้างเดียว
อาการของออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง
อาการของออฟฟิศซินโดรมในระยะแรกนั้น มักจะไม่รุนแรงจึงทำให้หลายคนและเลยการรักษาเมื่อนานวันจึงเกิดอาการรุนแรงในที่สุดซึ่งสามารถสังเกตได้ดังนี้
- ปวดศีรษะ มีอาการปวดหัวคล้ายกับไมเกรนบ่อยครั้ง อาจจะเกิดได้จากการใช้สายตามากเกินไปประกอบกับความเครียดสะสมและพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีอาการปวดหัวตุ๊บๆ ข้างเดียวหรือสองข้าง
- เกิดอาการปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น ต้นคอ บ่า ไหล่ สะบัก ข้อมือ นิ้วมือ เกิดจากการนั่งทำงานในท่าเดิมทำให้เกิดการหดเกร็งและปวดเรื้อรังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถปวดขึ้นเองได้โดยไม่มีสาเหตุ
- มีอาการชาตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งอาการชามาจากการอักเสบของกล้ามเนื้อเอ็นและประสาทตึงตัวจึงทำให้มีอาการชาตามมือตามแขนและส่งผลให้นิ้วล็อคในที่สุด
- อาการเหน็บชาและแขนขาอ่อนแรง ซึ่งเกิดได้จากการที่นั่งท่าเดิมเป็นเวลานานจนทำให้เกิดการทับเส้นประสาทหรือการไหลเวียนของเลือด โดยมักจะมีอาการชาบริเวณนิ้วนางนิ้วกลางและปวดแปล๊บๆ บริเวณข้อมือได้
- นิ้วล็อค เกิดจากการที่ใช้นิ้วมือหรือข้อมือจับโทรศัพท์มือถือท่าเดิมเวลานานๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบบริเวณปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือและการอักเสบของเส้นเอ็น ส่งผลทำให้ไม่สามารถเหยียดนิ้วมือได้ตามปกติ
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรม
สำหรับโรคออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่แค่คนทำงานออฟฟิศเท่านั้นที่จะเกิดอาการกลุ่มนี้ได้ แต่สามารถเกิดกับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเดิมซ้ำๆ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นตึงและบาดเจ็บในภายหลังไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มผู้ใหญ่ ที่มีพฤติกรรมการใช้ Social Online ไม่ว่าจะเป็นการงอ คอ ห่อไหล่หรือท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้คนที่อายุมากก็สามารถเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งผลมาจากความเสื่อมของร่างกายการทรุดตัวของกระดูกและการกดทับของเส้นประสาท
สาเหตุของการเกิดออฟฟิศซินโดรม
พฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรมได้
- การนั่งทำงานในอิริยาบทเดิมๆโดยไม่ขยับปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อยืดหรือคลายกล้ามเนื้อ
- การนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้สูงเกินไปหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์สูงหรือต่ำการะว่ดับสายตาที่ทำให้ต้องก้มเงยตลอดเวลาการใช้งาน
- การจ้องคอมระยะเวลานานการใช้สายตามากๆไม่สมดุลความสว่างในห้องทำให้เกิดอาการปวดตาตามมาได้
- การทำงานหนักทำให้มีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอรวมถึงความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากการทำงาน-นอกจากนี้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ไม่ว่าจะเป็นอากาศไม่ถ่ายเทอุปกรณ์ออฟฟิศเต็มไปด้วยฝุ่น
ภาวะแทรกซ้อนของออฟฟิศซินโดรม
อาการออฟฟิศซินโดรมหากไม่ได้รับการบำบัดรักษาหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ก็ทำให้การสะสมเรื้อรังและเกิดอันตรายตามมาได้ เช่น
- เสี่ยงเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทกระดูกสันหลังคดแขนขาอ่อนแรง
- เสี่ยงต่อความซึมเศร้าอันมาจากความเครียดสะสมความกดดัน
- เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังโรคอ้วนโรคเบาหวานโรคความดันโลหิตสูงไขมันในเส้นเลือดจากการรับประทานอาหารจุกจิกในเวลาทำงานและไม่ออกกำลังกาย
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยตัวเอง
ผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรมสามารถบำบัดด้วยตัวเองก่อนในเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็นการคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำและปรับพฤติกรรมต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เมื่อรู้สึกอ่อนล้าหรือเมื่อยล้าควรพักจากการทำงานลุกขึ้นยืดเส้นสายประมาณ 5 นาทีหรือเดินไปสูดอากาศข้างนอก ไม่ควรนั่งทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- หมั่นออกกำลังกายเพื่อยืดและคลายกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลางลำตัว เช่น โยคะ เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ป้องกันเอ็นและข้อ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน เปลี่ยนโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสรีระ และจัดสถานที่ออฟฟิศให้สะอาดมีอากาศถ่ายเทมากขึ้น
- นั่งทำงานหลังตรงแนบกับพนักพิง ตัวตรงไม่เอนทางโต๊ะหรือพนักพิง และเว้นระยะห่างหน้าจอประมาณ 1 ช่วงแขน
- อย่าห่อไล่หรือยกไหล่สูงเกินไป พยายามให้ไหล่อยู่ในท่าธรรมชาติ ให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงพอดีกับหน้า ไม่ต่ำและสูงกว่าระดับสายตา เพื่อให้คออยู่ในท่าธรรมชาติ และไม่แหงนหรือก้มเกินไป
- สำหรับคนที่มีอาการรุนแรง ไม่สามารถรักษาได้ อาจจะต้องพักงานหรือเปลี่ยนงาน
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีทางการแพทย์
หากไม่แน่ใจว่าออฟฟิศซินโดรมที่กังวลนั้น จะรักษาอย่างไรอาจจะต้องปรึกษาแพทย์เบื้องต้นโดยอาจจะใช้วิธีการให้ยาบางชนิดเช่นยาคลายกล้ามเนื้อ ยาคลายเครียด หรือหากใช้ยาใดๆ แล้วยังมีอาการที่ไม่ดีขึ้นอาจจะต้องใช้วิธีการรักษาแบบทางเลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็ม การนวดกดจุด หรือการฉีดโบท็อกออฟฟิศซินโดรม ซึ่งแพทย์จะพิจารณาว่าวิธีไหนเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บไซต์ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเเกรนครบวงจร : https://www.migrainethailand.com/