นักวิจัยวิทยาศาสตร์สารเสพติดนานาชาติ ชี้ ปัญหาจากการดื่ม

นักวิจัยวิทยาศาสตร์สารเสพติดนานาชาติ ชี้ ปัญหาจากการดื่ม สร้างผลกระทบรุนแรง รัฐต้องมีส่วนร่วมวางนโยบายที่เข้มแข็ง ห่วงเด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อ ปัญหารุนแรงถึงขั้นเสี่ยงฆ่าตัวตาย ชี้ ยูกันดา ออกกฎหมายจำกัดอายุ คุมเวลาขาย ห้ามโฆษณา ช่วยลดปัญหาลง 35% แอฟริกาใต้ พบปัญหาเมาแล้วทำไฟไหม้ 900 เคส

มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด (Substance Abuse Academic Foundation, SAAF) ร่วมกับสมาคมความร่วมมือทางวิชาการของมหาวิทยาลัยนานาชาติเพื่อการลดอุปสงค์ต่อยาเสพติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเวทีการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การเสพติด (Thailand Addiction Scientific Conference) โดยมีนักวิชาการนานาชาติเข้าร่วมแลกเปลี่ยนในหัวข้อ “การใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด: การป้องกัน นโยบาย และการเสียชีวิต” ณ โรงแรมกรีน นิมมาน จ.เชียงใหม่

นายนากินตู เกรซ แผนกความร่วมมือด้านต่อต้านยาเสพติดแห่งนันซานา ยูกันดา กล่าวถึงการทำงานและวิธีแก้ปัญหา โดยพบว่าในแหล่งชุมชนแออัด ที่มีทั้งแรงงาน และเยาวชนจำนวนมาก พบปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด โสเภณี โดยเยาวชนอายุ 15-25 ปี มีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม สารเสพติด และมีแนวโน้มการใช้สารเสพติด ดื่มเหล้า สูบกัญชา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาได้ออกสำรวจปัญหา เข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชน และจัดรายการมีการใช้เสียงตามสายเพื่อให้ความรู้ และปรึกษากับผู้นำชุมชนเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด ผลจากการสำรวจพบว่าเยาวชน 53% อยากลองดื่มเหล้าเบียร์ และกลุ่มตัวอย่าง 63% บอกว่าสามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้อย่างง่าย ไม่ว่าจะเป็นจากร้านค้า หรือที่บ้าน

“การแก้ปัญหาใช้วิธีออกกฎหมายควบคุมไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบอนุญาต จำกัดการเข้าถึงในเด็กและเยาวชน จำกัดการโฆษณา และกำหนดชั่วโมงการขาย พบว่าส่งผลให้ปัญหาลดลง 35% หลังจากมีกฎหมายก็ยังพบปัญหาการแบ่งขาย แอบขายให้เด็ก ซึ่งมีการยกเลิกใบอนุญาตไปถึง 15 ราย นอกจากนี้ ยังมีการเข้าไปทำงานกับเด็กและเยาวชน เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาให้มากขึ้น” นายนากินตู กล่าว

ADVERTISMENT

ดร. ราเจน โกเวนเดอร์ ประธานงานบัณฑิตศึกษา โรงเรียนเนลสัน แมนเดลล่าแห่งการปกครองสาธารณะ มหาวิทยาลัยเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ กล่าวว่า ในเคปทาวน์มีปัญหาเพราะการดื่มหนักจำนวนมาก สถิติการข่มขืน อุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ และอาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีการทำงานวิจัยรวบรวมปัญหาใน 1.2 หมื่นราย ในโรงพยาบาล 19 แห่ง จาก 8 จังหวัด ด้วยการสัมภาษณ์ ประวัติการรักษา ในผู้ป่วยที่มาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด พบว่า เกิดการบาดเจ็บจำนวนมาก หนึ่งในนั้น คือ การบาดเจ็บจากไฟไหม้ถึง 900 ราย ซึ่งพบว่าการเมาจนขาดสติเป็นสาเหตุทำให้เกิดการบาดเจ็บ และเสี่ยงอันตรายขึ้น 10 เท่า

“ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม การมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากจากการดื่ม ทำให้กระทบการรักษาผู้ป่วยจากการเจ็บป่วยโรคอื่นๆ เตียงเต็ม โรงพยาบาลไม่พอ บุคลากรไม่พอ และยังใช้งบประมาณดูแลผู้ป่วยเหล่านี้จำนวนมาก จนส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ยังกระทบครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดและผลกระทบต่อสุขภาพจิตอีกด้วย ทำให้นอกจากการวางแผนแก้ปัญหาเรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังต้องดูแลเรื่องการสร้างงาน สร้างรายได้เพื่อทำให้คนหลุดพ้นจากปัญหาด้วย” ดร.ราเจน กล่าว

ADVERTISMENT

นายเดวิด ซิดนีย์ มังเวกาเป สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ โลเบสเว บอสซาวานา กล่าวว่า ได้ทำวิจัยเรื่องประสิทธิผลของมาตรการป้องกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสถานการณ์จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมราคา ออกกฎหมายเมาแล้วขับ แต่พบว่า นโยบายของทางภาครัฐยังไม่ชัดเจน ทำให้ต้องทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อหาประสิทธิภาพการทำงานของนโยบายรัฐ พบว่ากฎหมายที่มียังไม่สามารถจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ งานวิจัยนี้จะเป็นการตรวจสอบภาครัฐเพื่อให้ออกนโยบายที่มีประสิทธิภาพต่อไป

ดร.ชิด ซู ทินน์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การศึกษาเรื่องการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเยาวชน มีผลกระทบต่อสุขภาพจิต โดยมีการเก็บกลุ่มตัวอย่างในเยาวชนอายุ 15-23 ปี จำนวน 1,538 คน ในโรงเรียน 6 แห่ง จากทุกภาคของไทย โดยพบว่าเยาวชนไทยมีปัญหาที่เกิดจากการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากปี 2551 อยู่ที่ 14.8% เพิ่มขึ้นเป็น 22.2% ในปี 2558 พบปัญหาเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ส่งผลให้เด็กมีโอกาสที่จะกลายเป็นนักดื่ม และมีปัญหาทางสุขภาพจิต และเชื่อมโยงกับการติดพนัน และใช้สารเสพติด ทั้งนี้ วัยรุ่นต้องเผชิญกับปัญหาที่มาจากอารมณ์ จนกระทบไปถึงปัญหาสังคม และสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผลการเรียนตกต่ำ ปัญหาความพยายามฆ่าตัวตาย ปัญหาทางสุขภาพอื่น ล้วนเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้

“ภาครัฐควรมีโปรแกรมสำหรับดูแลคนรุ่นใหม่ เยาวชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักและรู้เท่าทันอารมณ์ตนเองมากขึ้น เพื่อให้สามารถยับยั้งชั่งใจ ควบคุมตนเองได้ จึงจำเป็นต้องสร้างหลักสูตรการเรียนรู้สำหรับเยาวชนให้เท่าทันต่อผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต การพนัน และการใช้สารเสพติด” ดร.ชิต ซู ทินน์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image