“เจาะเทรนด์อนาคตธุรกิจสิ่งพิมพ์: วิธีปรับตัวให้ ‘อยู่รอดและยั่งยืน’” โดย ดร.ชิณญ์ ทรงอมรสิริ

ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมการพิมพ์ไทย (Thai Printing Association) ระบุว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2562–2565 มูลค่าตลาดสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทยหดตัวลงกว่า 20% ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันไปบริโภคสื่อออนไลน์เป็นหลัก รวมถึงการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติ ที่สามารถนำเข้าเครื่องจักร กระดาษ หมึกพิมพ์ และวัสดุสิ้นเปลืองในราคาต้นทุนต่ำ (แหล่งอ้างอิง: รายงานสภาอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ไทย 2565)

นอกจากนี้ รายงาน “Global Printing Market Insights 2024” ยังระบุว่า การจ้างผลิตจากจีนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี เนื่องมาจากผู้ประกอบการจีนสามารถให้บริการในลักษณะโซลูชันแบบครบวงจร ทั้งการผลิตสินค้าและการพิมพ์สื่อประชาสัมพันธ์ จนนำไปสู่สภาวะการแข่งขันที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับโรงพิมพ์ไทยหลายแห่ง

ท่ามกลางกระแสสื่อดิจิทัลที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และแรงกดดันทางราคาที่เข้มข้น คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจสิ่งพิมพ์จึงได้แก่: “ธุรกิจโรงพิมพ์…จะไปต่ออย่างไร?”

บทความฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์สาเหตุที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอุตสาหกรรมงานพิมพ์อาจเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ขณะเดียวกันจะชี้ให้เห็น “แนวทางรอด” และ “ยุทธศาสตร์การปรับตัว” เพื่อยกระดับประสบการณ์การให้บริการ ทั้งในด้านคุณภาพงานพิมพ์ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิต และกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยให้โรงพิมพ์ไทยสามารถก้าวข้ามวิกฤตดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวมิได้ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจโรงพิมพ์ไทยกำลังจะสูญสิ้นโดยสิ้นเชิง หากแต่จำเป็นต้องมี**“การปรับตัวอย่างชัดเจน”** เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งพิมพ์และการตลาดสนับสนุน คือ “Experience-Driven Strategy” (กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์) โดยมุ่งสร้างคุณค่าที่เหนือความคาดหมายในมุมมองของลูกค้า

ADVERTISMENT

การปรับตัวธุรกิจโรงพิมพ์ในยุคปัจจุบันด้วย Experience-Driven Strategy

  1. Solutions (ทางแก้ปัญหา)
    • นำเสนอ บริการที่หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ
    • เสนอ บริการพิเศษ อาทิ การพิมพ์ด่วน การออกแบบเฉพาะตัว และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกวัสดุ
    • เน้นกระบวนการตรวจสอบ คุณภาพงาน (QC) ก่อนการส่งมอบ เพื่อรักษามาตรฐานของผลงาน
  2. Value Proposition (คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ)
    • ใช้ วัสดุพิมพ์คุณภาพสูง และเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทันสมัย เพื่อสร้างความคุ้มค่าต่อการลงทุน
    • จัดโปรโมชันพิเศษ เช่น ส่วนลด สำหรับการสั่งซื้อจำนวนมาก
    • จัดทำ เงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่น เช่น การให้เครดิตเทอมสำหรับลูกค้าองค์กร
  3. Distribution Network (เครือข่ายการจัดส่ง)
    • บริการจัดส่งทั่วประเทศ ที่รวดเร็วและปลอดภัย
    • มี ระบบการสั่งพิมพ์ออนไลน์ ให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะงานได้อย่างสะดวก
    • พัฒนา เครือข่ายพันธมิตร ในการจัดส่งเพื่อครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากขึ้น
  4. Engagement Strategy (กลยุทธ์การมีส่วนร่วม)
    • ใช้การสื่อสารผ่าน Social Media เพื่อเพิ่มการรับรู้และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
    • จัด กิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดใช้พลังงาน ลดคาร์บอนฟุตปริ้นต์ และปลูกต้นไม้เพิ่มเติมบริเวณโรงงาน
    • สร้าง เนื้อหาที่ให้ความรู้ แก่ผู้บริโภค อาทิ บทความเกี่ยวกับการเลือกวัสดุพิมพ์
  5. Human Capital (ทรัพยากรบุคคล)
    • ฝึกอบรมพนักงานเพื่อ พัฒนาความเชี่ยวชาญ ทั้งด้านการพิมพ์และการบริการ
    • ส่งเสริม วัฒนธรรมองค์กร ที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมและการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
    • จัดทีมงานที่มี ความเป็นมืออาชีพ รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกกระบวนการ
  6. Operational Excellence (ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน)
    • นำ มาตรฐานสากล เช่น ISO 9001 มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
    • ใช้ เทคโนโลยีในการลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน
    • ปรับปรุง ความยืดหยุ่นในกระบวนการผลิต เช่น การบริหารจัดการงานด่วน
  7. Brand Experience (ประสบการณ์แบรนด์)
    • สร้าง สภาพแวดล้อมที่สะอาด ทันสมัย และน่าเชื่อถือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ในโรงงาน
    • ใช้ บรรจุภัณฑ์ ที่สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและคุณภาพงานพิมพ์
    • ส่งเสริม จริยธรรมในธุรกิจ อาทิ การดูแลสิทธิของพนักงาน และการสนับสนุนซัพพลายเออร์รายย่อย

การปรับใช้แนวทางดังกล่าว สามารถช่วยให้ธุรกิจโรงพิมพ์พัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างโรงพิมพ์ไทยที่ปรับตัวสู่ความยั่งยืน

หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่โดดเด่นของการประยุกต์ใช้ “Experience-Driven Strategy” คือ โรงพิมพ์ บีพีเค พริ้นติ้ง ซึ่งดำเนินธุรกิจมานานกว่า 45 ปี และได้ขยายขีดความสามารถในการผลิตงานพิมพ์ครบวงจร ผ่านมาตรฐานสากล ISO 9001 รวมถึงกระบวนการ QA/QC ที่เข้มงวด เพื่อให้ทุกผลงานมีคุณภาพสม่ำเสมอ

แม้จะไม่ใช่โรงพิมพ์เพียงแห่งเดียวที่ปรับตัวในลักษณะนี้ แต่กรณีของ โรงพิมพ์ บีพีเค พริ้นติ้ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เมื่อมีการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ สนับสนุนการพัฒนาทักษะบุคลากร ควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน และเสริมมูลค่าด้วยบริการที่หลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานในแวดวงสิ่งพิมพ์ โรงพิมพ์ บีพีเค พริ้นติ้ง นำเสนอการบริการครอบคลุมตั้งแต่งานออฟเซ็ท ดิจิตอล อิงค์เจ็ท ไปจนถึงงานฉลากสินค้าและสติ๊กเกอร์ พร้อมช่องทางให้คำปรึกษาออนไลน์แบบครบวงจร และเครือข่ายจัดส่งทั่วประเทศในราคาที่แข่งขันได้ โดยทุกงานพิมพ์จะผ่านการตรวจสอบ QA/QC อย่างละเอียดก่อนถึงมือลูกค้า นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ทันสมัย ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพที่แท้จริง

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bpkprinting.com

ทั้งนี้ “มาที่เดียวครบ จบทุกงานพิมพ์” มิใช่แค่สโลแกน หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่โรงพิมพ์ บีพีเค พริ้นติ้ง ใช้เพื่อยืนยันมาตรฐานการทำงาน ซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ที่แสวงหาผลงานพิมพ์ที่น่าเชื่อถือในยุคปัจจุบัน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image