อธิบดีกรมสรรพสามิตแถลงข่าว “พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560”

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต พร้อมคณะผู้บริหาร แถลงข่าว “พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560” ซึ่งเป็นการรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน เน้นสร้างความโปร่งใส เป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษี และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ประกอบการ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ หอประชุมกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560

 

…………………..

พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 หลักการอิงภาระภาษีที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค

Advertisement

กรมสรรพสามิตปฏิรูปโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จัดทำเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน เน้นการสร้างความโปร่งใส เป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษี และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ประกอบการ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (16 กันยายน 2560)

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ราชกิจจานุเษกษา ประกาศพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ เป็นการรวบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส เป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  และหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องออกกฎหมายลำดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการต่างๆ เนื่องจากกฎหมายแม่บทที่ออกมานั้น เป็นการปรับขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งเพดานใหม่ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึง ปี พ.ศ. 2580 สำหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงนั้น จะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรองอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะลดจากเพดานลงมา เนื่องจากเพดานในกฎหมายนั้นกำหนดไว้สูง เพราะมองถึงอนาคตอีก 20 ปี สำหรับการกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีจริง ในหลักการจะอ้างอิงจากภาระภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

Advertisement

ทั้งนี้สาระสำคัญของร่างกฎหมาย ประกอบด้วย เพิ่มเติมบทนิยามที่สำคัญ เช่น คำว่า “ราคาขายปลีกแนะนำ” “ผลิต” “สุรา” “ยาสูบ” และ”ไพ่” ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีจากจัดเก็บในอัตราตามมูลค่าหรือตามปริมาณ แล้วแต่อัตราใดจะคิดเป็นเงินสูงกว่า เป็น จัดเก็บทั้งตามมูลค่าและตามปริมาณ เปลี่ยนฐานในการคำนวณภาษีตามมูลค่า จากเดิม สินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร ใช้ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม และสินค้านำเข้า ใช้ราคา ซี.ไอ.เอฟ. หรือกรณีสินค้าสุรา ใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็น ราคาขายปลีกแนะนำ ปรับปรุงกำหนดระยะเวลาการประเมินภาษีจากเดิม 2 ปี เป็นกำหนดเวลา 2 ปี ขยายได้อีก 3 ปี รวมเป็น 5 ปี ปรับปรุงขั้นตอนการโต้แย้งการประเมินภาษี ปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงระบบการควบคุมสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงบทกำหนดโทษให้เหมาะสมกับปัจจุบัน และปรับปรุงเพดานอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ และเพดานอัตราภาษี ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน เป็นต้น

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะประชุมชี้แจงกับภาคเอกชน  สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึงหอการค้าต่างประเทศในไทย และจะจัดพิมพ์พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษแจกจ่ายให้แก่ภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ รวมทั้งมีคำอธิบายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตดังกล่าว เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image