ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยณัฐ สร้อยคำ ผู้ช่วยอธิการบดี และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอินเดีย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ทั่วโลกจับตามองในฐานะ “มหาอำนาจใหม่” ของเอเชีย อินเดียไม่เพียงแต่เป็นประเทศเก่าแก่ที่เปี่ยมด้วยอารยธรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม หากยังเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน มากเป็นอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน เศรษฐกิจอินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก และด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง คาดว่าจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ภายในปี ค.ศ. 2030 นอกจากนี้ อินเดียยังมีความก้าวหน้าในหลากหลายด้าน อาทิ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสำรวจอวกาศ การแพทย์และเภสัชกรรม ตลอดจนขีดความสามารถด้านความมั่นคงและการทหารที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งเป็นต้นแบบของประเทศกำลังพัฒนาด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
การก้าวขึ้นมาอย่างโดดเด่นของอินเดียนั้นสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบทบาทของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ผู้นำที่ได้รับเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 และชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 3 ติดต่อกัน เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 ทำให้โมดิกลายเป็นผู้นำที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองอินเดียสมัยใหม่ โดยมีผลงานโดดเด่นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ การทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยอัตราการขยายตัวของ GDP สูงถึง 77% ในรอบ 10 ปี จาก 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้อินเดียมีส่วนแบ่งในเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังขับเคลื่อนการดึงดูดการลงทุนและการผลิตจากต่างชาติให้เข้ามาในประเทศ ภายใต้แนวคิด Make in India ทำให้อันดับความง่ายในการทำธุรกิจของอินเดียดีขึ้น ขณะที่ปัญหาความยากจนได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ประชาชนกว่า 25 ล้านคนพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง และลดจำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนจากร้อยละ 10 เหลือต่ำกว่า 1% พร้อมกันนี้ ประชากรกลุ่มชนชั้นกลางก็เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 335 ล้านคน
รัฐบาลโมดีได้ขับเคลื่อนโครงการสำคัญหลายโครงการ เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า Ayushman Bharat ซึ่งเป็นระบบประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมประชาชนกว่า 600 ล้านคน โครงการ Jan Dhan – Aadhaar – Mobile (JAM) ที่ยกระดับระบบสวัสดิการสังคมให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างโปร่งใสและรวดเร็ว รวมถึง PM Awas Yojana ที่ช่วยสร้างบ้านให้ประชาชนกว่า 4.2 ล้านหลัง พร้อมแผนสร้างเพิ่มอีก 3 ล้านหลัง นอกจากนี้ ยังมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกร PM Kisan ที่โอนเงินตรงถึงเกษตรกรหลายล้านราย และโครงการขยายระบบประปาหมู่บ้านที่ช่วยลดภาระให้กับผู้หญิงในชนบทได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังผลักดันโครงการ Digital India เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อประชาชนทั่วประเทศ และส่งเสริมธุรกิจ Startup และนวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ
ความสำเร็จเหล่านี้เกิดจากแนวคิด Antyodaya หรือการพัฒนาจากฐานราก ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมศักยภาพของประชาชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์และขจัดการคอร์รัปชัน ส่งผลให้ประชาชนอินเดียมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีศักยภาพในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน อินเดียภายใต้การนำของโมดี จึงไม่เพียงเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ แต่ยังเป็นตัวอย่างของประเทศที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้กับประชาชนในวงกว้าง
โมดีไม่เพียงขับเคลื่อนการพัฒนาในประเทศเท่านั้น แต่ยังยกระดับบทบาทของอินเดียในเวทีโลก ทั้งในเวที UN, BRICS, G20 และเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียคนแรกในรอบหลายทศวรรษที่เดินทางเยือนต่างประเทศ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้นำโลก พร้อมทั้งได้รับรางวัลและเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดจากหลายประเทศ นอกจากนี้โมดิ ยังให้ความสำคัญกับนโยบายปฏิบัติตะวันออก (Act East Policy) ที่เน้นการเชื่อมโยงและกระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาเซียนมากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือในหลายมิติ ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และความร่วมมือด้านความมั่นคง อีกทั้งการที่ไทยและอินเดียเป็นภาคีสำคัญในความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ BIMSTEC ยังช่วยตอกย้ำภาพความร่วมมือสำคัญและโอกาสของทั้งสองประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันทางทะเล อีกด้วย
วันนี้อินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้เปลี่ยนผ่านจากภาพจำของประเทศที่เผชิญปัญหาความยากจน ไปสู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก พร้อมกับการรักษาอัตลักษณ์และค่านิยมแบบอินเดียไว้อย่างมั่นคง ซึ่งไม่เพียงสะท้อนพลังของการบริหาร แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของคนอินเดียที่พร้อมก้าวเดินสู่อนาคต
