คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมร้านค้าออนไลน์บางร้านขายดีกว่าร้านอื่น ทั้ง ๆ ที่สินค้าคล้ายกันมาก? คำตอบคือเว็บไซต์ที่ยอดขายสูงมีการทำ SEO ร่วมด้วยนั่นเอง “E-commerce SEO” หรือ “SEO ขายของออนไลน์” ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา Google เมื่อลูกค้าเสิร์ชหาสินค้า ทำให้มีคนเห็นร้านคุณมากขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาในทุก ๆ วัน แถมยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจและเกิดผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวด้วย
ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องทำ SEO ?
SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับดีในผลการค้นหาของ Google เมื่อลูกค้าพิมพ์หาสินค้าที่ต้องการ สำหรับร้านค้าออนไลน์ การทำ SEO เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลใน Google ก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ ร้านที่ติดอันดับหน้าแรกมีโอกาสได้ลูกค้ามากกว่าร้านที่อยู่หน้าหลัง ๆ ถึง 10 เท่า นอกจากช่วยเพิ่มยอดขายแล้ว การติดอันดับดียังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะลูกค้ามักมองว่าร้านที่กูเกิลแนะนำในอันดับต้น ๆ ต้องเป็นร้านที่มีคุณภาพและไว้ใจได้
แจก 7 วิธีทำ SEO สำหรับร้านขายของออนไลน์
1. หาคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าใช้ค้นหาสินค้า
ต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าพิมพ์คำอะไรตอนค้นหาสินค้าของคุณ โดยเน้นคำที่แสดงความตั้งใจซื้อ เช่น “ซื้อกระเป๋าหนังแท้ผู้ชาย” “รองเท้าวิ่งลดราคา” หรือ “เสื้อเชิ้ตทำงานผู้หญิงเนื้อดี” คีย์เวิร์ดพวกนี้อาจมีคนค้นหาน้อยกว่าคำทั่วไป แต่โอกาสขายได้สูงกว่ามาก
- เครื่องมือหาคีย์เวิร์ด Google Keyword Planner, Ahrefs
- ดูคีย์เวิร์ดจากคู่แข่ง สังเกตว่าร้านที่ขายดีใช้คำอะไรในชื่อสินค้า
- ฟังลูกค้า สังเกตว่าลูกค้าเรียกสินค้าของคุณว่าอะไร
2. จัดโครงสร้างเว็บให้เข้าใจง่าย
เว็บไซต์ที่เป็นร้านค้าออนไลน์ควรแบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน ตั้งชื่อหมวดหมู่และ URL ให้เข้าใจง่าย เช่น yourshop.com/รองเท้า/รองเท้าผู้หญิง/รองเท้าส้นสูง ไม่ควรใช้รหัสตัวเลขที่คนอ่านไม่รู้เรื่อง จัดให้หาสินค้าได้ง่าย ไม่เกิน 3 คลิกก็ถึงสินค้าที่ต้องการ ใส่เมนูนำทางที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าไม่หลงทาง
3. ทำหน้าสินค้าให้ครบถ้วนน่าซื้อ
หน้าสินค้าต้องมีข้อมูลครบถ้วน ชื่อสินค้าควรมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย คำอธิบายสินค้าต้องละเอียด บอกทั้งคุณสมบัติและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ลงรูปสินค้าคมชัดหลายมุม ใส่คำอธิบายรูป (Alt Text) ทุกรูป ใส่รีวิวจากลูกค้าจริง และข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญให้ครบ
- Meta Title ชื่อสินค้า + แบรนด์ + คุณสมบัติเด่น (ไม่เกิน 60 ตัวอักษร)
- Meta Description สรุปจุดเด่น ราคา โปรโมชัน (ไม่เกิน 160 ตัวอักษร)
- รูปภาพ ใส่ชื่อไฟล์ที่มีคีย์เวิร์ด เช่น รองเท้าส้นสูง-charles-and-keith.jpg
4. ทำเว็บให้โหลดเร็ว
เว็บช้าทำให้ลูกค้าเบื่อและปิดหนีไปหาร้านอื่น ยิ่งช้ายิ่งขายยาก บีบรูปให้เล็กลงแต่ยังคมชัด ลดส่วนที่ไม่จำเป็น เลือกโฮสติ้งที่เร็วและเสถียร ลด plugin ที่ไม่จำเป็น ทำให้เว็บโหลดไม่เกิน 3 วินาที ดูว่าติดปัญหาตรงไหนได้จาก Google PageSpeed Insights
5. ทำเว็บให้ใช้งานง่ายบนมือถือ
คนส่วนใหญ่ช้อปปิ้งผ่านมือถือ เว็บที่ใช้งานยากบนมือถือจะสูญเสียลูกค้าไปมาก ทำให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอให้กดง่าย ตัวหนังสืออ่านง่าย เมนูไม่ซับซ้อน ขั้นตอนสั่งซื้อไม่ยุ่งยาก และทดสอบบนมือถือจริงหลาย ๆ รุ่น ไม่ใช่แค่ดูในคอมพิวเตอร์ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเว็บที่ใช้งานบนมือถือได้ดีมาก
6. สร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์
นอกจากข้อมูลสินค้าแล้ว ควรมีบล็อกที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า เช่น วิธีเลือกซื้อ วิธีใช้งาน การดูแลรักษา หรือเทรนด์ล่าสุด บทความพวกนี้จะช่วยดึงคนที่กำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ และยังแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้านั้นจริงๆ
- บทความวิธีเลือก เช่น “วิธีเลือกรองเท้าวิ่งให้เหมาะกับเท้าและสไตล์การวิ่ง”
- บทความวิธีใช้ เช่น “5 เคล็ดลับดูแลกระเป๋าหนังให้อยู่ได้นาน 10 ปี”
- รวมรีวิว รวบรวมความเห็นจากลูกค้าจริงที่ใช้สินค้าของคุณ
7. สร้างลิงก์จากเว็บอื่น
การมีเว็บอื่นลิงก์มาที่ร้านคุณหรือที่เรียกว่า Backlink ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตา Google ทำได้โดยส่งสินค้าให้บล็อกเกอร์หรือยูทูบเบอร์รีวิว ทำเนื้อหาดี ๆ ที่คนอยากแชร์ หรือร่วมงานกับเว็บในธุรกิจใกล้เคียง เช่น ร้านขายอุปกรณ์กีฬาอาจร่วมมือกับบล็อกสุขภาพหรือชมรมวิ่ง
สรุป
การทำ SEO บนเว็บไซต์ขายของออนไลน์ หรือ E-commerce SEO (SEO ขายของออนไลน์) ช่วยผลักดันให้ธุรกิจขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งสูงบนหน้า Google SERPs ได้จริง ตามมาด้วยโอกาสที่ลูกค้าจะคลิกเข้ามาชมและสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ นอกจากการทำ SEO บนเว็บไซต์แล้ว หากคุณมีร้านค้าออนไลน์บนช่องทางอื่น ๆ อย่าง Shopee หรือ Lazada คุณก็สามารถเอากลยุทธ์ SEO อย่างการใส่คีย์เวิร์ดลงไปบน Product Description และชื่อสินค้าได้เช่นกัน