จากสายใยทางการทูตที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้แปรเปลี่ยนจากความร่วมมือระหว่างรัฐ สู่การสานพลังของผู้คนสองประเทศที่ผูกพันกันแน่นแฟ้นทั้งในมิติของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ ในวาระครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 เวทีเสวนา ‘ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน : มองอดีต สู่อนาคต’ ที่จัดโดย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส โดย Thai PBS World ร่วมกับ ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จึงไม่ใช่เพียงการระลึกถึงอดีต แต่คือการมองไปข้างหน้า เพื่อสำรวจบทบาทของคนรุ่นใหม่และสื่อมวลชนในการสานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
5 ทศวรรษไทย-จีน จากสายสัมพันธ์รัฐ สู่พลังของผู้คนและสื่อ
“ตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและจีนได้เติบโตอย่างมั่นคงและรอบด้าน ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม” หนึ่งในคำกล่าวของ รศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. สะท้อนให้เห็นถึงแก่นของความสัมพันธ์ที่ยืนยาวระหว่างสองประเทศ ไม่ใช่เพียงเพราะผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจหรือยุทธศาสตร์เท่านั้น หากแต่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างกัน
รศ. ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.
ในบริบทของโลกยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างภาพจำและความเข้าใจของผู้คน สื่อจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเชื่อมโยงโลกทรรศน์ของทั้งสองสังคม รศ. ดร.วิลาสินี ย้ำว่า สื่อมวลชนมีภารกิจในการเป็นสะพานเชื่อมโยงความคิด มุมมอง วัฒนธรรม และประสบการณ์ของผู้คน และในฐานะสื่อสาธารณะของไทย ไทยพีบีเอสยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่นั้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านการผลิตรายการ การใช้แพลตฟอร์มต่างๆ และการร่วมมือกับสื่อจีนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและพัฒนาคอนเทนต์ร่วมกัน
ดังนั้น เวทีเสวนา ‘ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน : มองอดีต สู่อนาคต’ จึงเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของไทยพีบีเอสในการเปิดพื้นที่สาธารณะสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ และที่สำคัญยิ่งคือการเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงออก มีส่วนร่วม และเติบโตขึ้นเป็นพลังสำคัญในการสานต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ย้อนอดีตสายสัมพันธ์ไทย-จีน บทเรียนจากอดีตสู่อนาคต
ในวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน งานเสวนาครั้งสำคัญนี้ได้รับเกียรติจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้กล่าวปาฐกถาพิเศษที่ชวนย้อนกลับไปมองจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ไทย-จีนในบริบทที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
“ถ้าเรามองย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ต้องบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการตัดสินใจของสองรัฐบาลในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญ และควรจะให้บทเรียนกับพวกเราทุกคนในการเดินไปข้างหน้า” อภิสิทธิ์ กล่าว พร้อมชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศแรกในอาเซียนที่สถาปนาความสัมพันธ์กับจีน เพราะมาเลเซียเป็นประเทศแรกที่ดำเนินการก่อนหน้า 1 ปี แต่การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในขณะนั้น นำโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญทางการเมืองอย่างยิ่ง
เพราะในช่วงเวลานั้น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญกับการต่อสู้ทางอุดมการณ์อย่างเข้มข้น ประเทศไทยเองก็เผชิญกับภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ ขณะที่นโยบายการต่างประเทศยังผูกพันกับขั้วอำนาจตะวันตก การหันมาเปิดสัมพันธ์กับจีนจึงไม่ใช่เพียงแค่การขยับเชิงการทูต แต่เป็นการวางหมากสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์และความกล้าหาญในการกำหนดทิศทางประเทศในห้วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลง
อภิสิทธิ์ ยังเน้นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่ ‘แน่นแฟ้น ลึกซึ้ง’ และสามารถนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ร่วมกันในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเฉพาะภายใต้กลไกพหุภาคีที่เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ทั้งสองประเทศได้เดินหน้าร่วมกัน แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้างในบางประเด็น แต่สิ่งสำคัญคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความจริงใจ ความสม่ำเสมอ และการเป็นมิตรที่ดี ทั้งในระดับรัฐ ภาคธุรกิจ สื่อมวลชน รวมถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะกลายเป็น ‘สะพานแห่งอนาคต’ ที่เชื่อมโยงไทยและจีนอย่างยั่งยืนต่อไป
ผ่ามุมคิดนักธุรกิจ-นักวิชาการไทย จีนวันนี้ไม่ใช่จีนวันวาน
นอกจากมิติทางประวัติศาสตร์และการเมืองแล้ว อีกหนึ่งช่วงสำคัญของงานเสวนาคือการพูดคุยภายใต้หัวข้อ ‘50 ปีแห่งความสำเร็จทางการทูต: รากฐานแห่งเสถียรภาพในภูมิภาค’ ซึ่งสะท้อนบทบาทและพลวัตของความสัมพันธ์ไทย-จีนในบริบทเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ร่วมสมัย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
โดยหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาอย่าง เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะแรงกดดันจากโลกตะวันตกที่ไม่พอใจกับการเติบโตของจีน ทำให้จีนต้องเร่งกระจายความเสี่ยงผ่านการย้ายฐานการผลิตและลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานเดิม ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของกลยุทธ์นี้
ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนภาพดังกล่าว คือ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศจีนเป็นนักลงทุนอันดับ 2 ในไทย นั่นยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและสถานะของไทยในสายตาจีนในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือ แต่สิ่งสำคัญที่ไทยต้องไม่ลืมคือ การรักษาสมดุลให้ได้อย่างเหมาะสม
ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์ที่ควรจับตา โดยระบุว่า จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ไทย-จีนเกิดขึ้นในช่วงที่สงครามเย็นกำลังสิ้นสุดลง และจีนเริ่มเข้าสู่ยุคของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทว่าในปัจจุบันจีนกำลังเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับคลื่นความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้คือความท้าทายใหญ่ที่ประเทศไทยต้องคิดให้ชัดว่าจะรักษาสมดุลอย่างไร รอดพ้นจากแรงปั่นป่วนทางเศรษฐกิจของจีนอย่างไร และจะปรับตัวรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างไร
ดร.อาร์ม ยังชี้ว่า การสื่อสารคือสิ่งจำเป็นที่สุดในเวลานี้ เราต้องกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าเรากังวลเรื่องอะไร ต้องการอะไร เพราะบ่อยครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่เราขาดคือการสื่อสารอย่างจริงใจและชัดเจน ซึ่งการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาในฐานะ ‘พี่น้อง’ จะช่วยแปลงความท้าทายที่มีอยู่ให้กลายเป็นโอกาสในอนาคตได้มากยิ่งขึ้น
บทบาทสื่อสมัยใหม่ในการเชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีนให้ยั่งยืน
กวี จงกิจถาวร สื่อมวลชนอาวุโส
เพื่อให้ครบถ้วนทุกมิติ ในงานเสวนายังมีการพูดคุยภายใต้หัวข้อ ‘บทบาทสื่อในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน’ ซึ่ง กวี จงกิจถาวร สื่อมวลชนอาวุโส และประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายของบทบาทสื่อในความสัมพันธ์ไทย-จีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่า ความสัมพันธ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากยุคจักรยานสองล้อสู่ยุครถไฟความเร็วสูง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและบริบทที่เปลี่ยนไปอย่างมาก พร้อมตั้งคำถามถึงความเป็นพาร์ทเนอร์ชิพที่เท่าเทียมกันในอนาคต
“บทบาทของสื่อมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้มั่นคงและมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากการเชื่อมโยงผลประโยชน์ร่วมที่ซับซ้อน เพราะความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวไม่ได้หมายความว่าจะสามารถตอบสนองผลประโยชน์ของชาติได้เสมอไป จึงต้องใช้ความระมัดระวังและเข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการบิดเบือนหรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น” กวี เน้นย้ำ
Ms. LI Min หัวหน้าสำนักข่าว China Media Group ประจำประเทศไทย
ในมุมมองของ Ms. LI Min หัวหน้าสำนักข่าว China Media Group ประจำประเทศไทย ได้กล่าวเสริมว่า China Media Group ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างจีนกับไทยโดยตรง ผ่านการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาลจีนด้วยภาษาอังกฤษ ไปยังสื่อและสังคมไทย โดยไม่ผ่านการกรองหรือแปลความหมายจากฝั่งตะวันตก จึงช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นข้อเท็จจริงของทั้งสองประเทศในสายตาสังคมไทยและจีน
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการรายงานข่าวเชิงบวกอย่างรอบด้านและพยายามรักษาความเป็นกลางเพื่อคงภาพลักษณ์ที่ดีของจีนในสังคมไทย แต่ในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางและควบคุมได้ยาก ก็กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่สื่อทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันรับมือ โดย China Media Group ได้ขยายการนำเสนอข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์อื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้อย่างกว้างขวางและตรงประเด็นมากขึ้น
เมื่อย้อนมองเวทีเสวนาครั้งนี้ท่ามกลางเส้นทาง 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน สิ่งที่งอกเงยขึ้นไม่ใช่เพียงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือยุทธศาสตร์ระดับชาติ หากแต่เป็นความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความร่วมมือระหว่างผู้คนที่หยั่งรากลึกลงในใจของทั้งสองสังคม เวทีเสวนาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การหวนรำลึกอดีต แต่คือการร่วมกันมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่เปิดกว้าง รับฟังความหลากหลาย และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญที่จะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นและยั่งยืน ผ่านความคิดสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และความตระหนักต่อบทบาทของตนเองในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา