ททท.จัดทัพสินค้าสุขทันทีเที่ยวไทยฤดูฝน/หน้าหนาว มิ.ย.-ต.ค.ลุยขาย 6 กิจกรรม

ททท.โหมขายสุขทันทีที่เที่ยวไทย 2 ฤดู “หน้าฝน-หน้าหนาว” งัดจุดขาย 6 กิจกรรม “ธรรมชาติ-สุขภาพ-อาหาร-ฝั่งทะเล-เทศกาลประเพณี-ทัวร์กับสัตว์เลี้ยง” พร้อมนำเสนอสินค้าเที่ยวรายเดือน “มิ.ย.”อาบป่าฮีลใจ “ก.ค.”แห่เทียน “ส.ค.” สิงหาพาแม่เที่ยว “ก.ย.-ต.ค.” ชมทุ่งดอกไม้ งานอาร์ต ตั้งแคมป์ ชมดาว ดำน้ำ ลุยปั้นต้นแบบเที่ยวยั่งยืน “กระบี่” ปี’69 ลุยขยายในภูเก็ต โคราช 7 เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. พร้อมนำเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวต้อนรับ 2 ฤดู ฤดูฝน/Green Season และฤดูหนาว/Winter Season ชูโรงด้วยแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติโดยเฉพาะใน 55 เมืองน่าเที่ยว พื้นที่ท่องเที่ยวชุมชน เริ่ม “ฤดูฝน” ปีนี้พื้นที่ในภาคตะวันตก ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ระหว่างมิถุนายน-สิงหาคม ปลอดมรสุม ส่วนภาคอื่น ทั่วประเทศก็มีจุดขายเด่นแตกต่างกันไปได้เดินหน้าเร่งกระตุ้นด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่

กิจกรรมที่ 1 การท่องเที่ยวธรรมชาติชมความเขียวขจีของป่าเขา เน้นใช้ธรรมชาติบำบัดฮีลกายใจ ตอบโจทย์นักเดินทางหลายวัยในครอบครัว เด็กเยาวชนสามารถไปร่วมเรียนรู้ประสบการณ์ดี ๆ พ่อแม่ก็ดูแลกายใจให้สดชื่น ตอบโจทย์สุขทันทีที่เที่ยวเมืองไทย

กิจกรรมที่ 2  การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy) ผสมผสานต่อยอดจากสินค้าท่องเที่ยวสุขภาพทำเป็น Well Being อาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีความหลากหลายกระจายอยู่ทุกพื้นที่ขายได้ตลอดทุกวัน

ADVERTISMENT

กิจกรรมที่ 3 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพองค์กร หรือ Health and Wellness ททท.เน้นสินค้าเชื่อมโยงเป็นคลัสเตอร์กลุ่มจังหวัดร้อยเรียงขายแต่ละเมืองเข้าด้วยกันยกระดับเป็นมูลค่าสูง เช่น สินค้าท่องเที่ยวยั่งยืน สร้างความสุขกายสบายใจ จะเน้น “ภาคเหนือ” เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน “ภาคกลาง” หัวหิน/ประจวบคีรีขันธ์ ชะอำ/เพชรบุรี สระบุรี “ภาคใต้” ภูเก็ต กระบี่ ระนอง และ “ภาคอีสาน” บางพื้นที่

กิจกรรมที่ 4 การท่องเที่ยวเทศกาล งานประเพณี ได้แก่ “เทศกาลท่องเที่ยว วิจิตร@5ภาค” ชมเทศกาลประดับไฟสวยงามด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสื่อผสม ขยายเทรนด์การท่องเที่ยวยามค่ำคืน กระตุ้นการพักค้างคืน กับกระจายรายได้เพิ่มมากขึ้น หรือ “เทศกาลแห่เทียนพรรษา” เดือนกรกฏาคมนี้ ที่อุบลราชธานี ต่อด้วยปลายฝนต้นหนาวปี 2568 จะมีงานท่องเที่ยวในอีสานและภาคเหนือเด่น ๆ คือ งาน ศิลปะหัตถกรรม Art and Craft เช่น สกลคราฟท์ และอีกหลายจังหวัด

กิจกรรมที่ 5 การท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล เริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวเดือนตุลาคมนี้ จะส่งเสริมการท่องเที่ยวยอร์ช เรือสำราญหรือครุยส์หลากหลายสไตล์

กิจกรรมที่ 6 การท่องเที่ยวกับสัตว์เลี้ยง Pet Friendly ททท.สร้างสรรค์เส้นทางและกิจกรรมร่วมกับโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ต่าง ๆ ทั่วทุกภาค เชิญชวนนักท่องเที่ยวที่รักสัตว์พาน้องแมว หรือน้องหมา เดินทางไปเช็คอินความสุขด้วยกันได้ มีเว็บไซต์แนะนำเส้นทางยอดนิยมด้วย

แล้ว ททท.ฝ่ายสินค้าการท่องเที่ยวได้จัดกิจกรรมต่อเนื่องนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวพรีเมี่ยมรายเดือน ประกอบด้วย

 

เดือนที่ 1 มิถุนายน  ชวนไปทำกิจกรรม “อาบป่าฮีลกายใจ” ทั่วภาคเหนือ รับประทานอาหารออร์แกนิก สัมผัสบรรยากาศความชุ่มชื้นสไตล์กรีนซีซั่นทั้ง ท้องนา ป่า ฝน ทะเลหมอก ชุมชน ได้ทั่วทุกภาค และท่องเที่ยวเดือน Pride Month กับประสบการณ์ความหลากหลายทางเพศในเมืองไทย

เดือนที่ 2 กรกฎาคม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เวลเนส ทำทรีตเมนท์ตามสถานประกอบการหรือที่พักมีบริการฮีลกายใจ ผสมผสานอาหาร กิจกรรมคราฟท์ จากนั้นก็ท่องเที่ยวต่อเทศกาลระดับประเทศ ไฮไลต์งาน ผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย งานแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี

เดือนที่ 3 สิงหาคม พาแม่เที่ยว เน้นกลุ่มครอบครัว คนสูงวัย และคน 3 วัย ชวนกันไปเที่ยว “ภาคกลาง” ด้วยการนั่งรถไฟท่องเที่ยวตามแลนด์มาร์กสำคัญ เร็ว ๆ นี้จะมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่อย่าง จูลาสสิค เวิลด์ หรือเที่ยวตลาดน้ำ ทัวร์คลอง นั่งเรือดินเนอร์ครุยส์ พาแม่เดินสายทำบุญ

เดือนที่ 4-5 กันยายน-ตุลาคม ไปสัมผัสทะเลหมอกภาคเหนือ ชมทุ่งดอกไม้เมืองหนาว เช่น ภูสอยดาวชมดอกหงอนนาค หรือเทศกาลดูดาวยามฟ้ามืด Dark Sky ททท.ได้จัดทำปฏิทินแต่ละแห่ง กระจายทั่วภาคอีสานมีหลายพื้นที่ให้เช็คอินดูดาวและจัด Glamping ตั้งแคมป์พักค้างแรมใน “ภาคอีสาน” อย่าง ขอนแก่น อุดรธานี ชัยภูมิ เขาใหญ่ นครราชสีมา “ภาคเหนือ” กระจายในหลายจังหวัด

“ภาคใต้” จะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยวดำน้ำตื้น น้ำลึก การล่องเรือยอร์ช ครุยส์ แต่ละฝั่งทะเล ต่อเนื่องกับเทศกาลท่องเที่ยวถือศีลกินผักหรือกินเจ ที่หาดใหญ่ สงขลา ภูเก็ต ปัตตานี หรือ “กรุงเทพฯ” ที่ย่านเยาวราช กับย่านสร้างสรรค์ และงานเทศกาลท่องเที่ยวดีไซน์ วีค งานศิลปะต่าง ๆ

ผอ.เอิบลาภ กล่าวว่า ปี 2568 ททท.เดินหน้าพัฒนาให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน เน้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) โดยใช้โครงการ “กระบี่ โปรโตไทป์” เป็นต้นแบบครอบคลุม 4 หมวดหลัก ได้แก่ 1.ที่พัก 2.ร้านอาหาร 3.แหล่งท่องเที่ยว 4.กิจกรรม ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับ Green Hotels, Restaurant, Destination, Events มีหลายภาคส่วนร่วมมือกันเป็นอย่างดี สร้างโมเดลให้จังหวัดต่าง ๆ นำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง

ตอนนี้ “ภูเก็ต” เริ่มขยับปรับพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป เพื่อเตรียมรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน “Thailand Sustainable Tourism Conference 2026” เดือนเมษายน 2569 ภายใต้แนวคิด “Regenerative Tourism” โดยจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญการท่องเที่ยวท้องถิ่นและระดับโลกมาแลกเปลี่ยนพร้อมยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจัด 3 ส่วน คือ งานสัมมนา จัดบูธนิทรรศการแสดงสินค้าและการจับคู่ธุรกิจ การแสดงนวัตกรรมและการปฏิบัติที่ยั่งยืน

ททท.ยังได้มุ่งยกระดับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในเมืองหลักอย่างนครราชสีมา และจังหวัดที่ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็น เมืองสร้างสรรค์สาขาต่าง ๆ  ทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร  ด้านการออกแบบ 2. เชียงใหม่ ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน 3.สุโขทัย ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน 4.ภูเก็ต ด้านอาหาร 5.เพชรบุรี ด้านอาหาร 6.เชียงราย ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน 7.นครปฐม  ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน

ททท.ร่วมมือกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) “อพท.” สมาคมโรงแรมไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เดินหน้านำมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนมากระตุ้นผู้ประกอบการท่องเที่ยวทุกสาขาเข้าสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งมีหลายมาตรฐาน เช่น

1.มาตรฐาน STGs STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating เป็นการประเมินมอบดาวแห่งความยั่งยืนให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ดำเนินงานตามเป้าหมายความยั่งยืน ยกระดับมาตรฐานและเสริมแรงสนับสนุนให้ธุรกิจต่อไป โดยนำต้นแบบจาก SDGs :Sustainable Development Goals สหประชาชาติ มาประยุกต์ใช้กับดาวท่องเที่ยวยั่งยืน ในกระบี่ ภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา และ 7 เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก ด้วย

2.มาตรฐาน Travel Link แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

3.มาตรฐาน Safe Travels By World Travel and Tourism Council (WTTC) ซึ่งเป็นองค์กรการท่องเที่ยวระดับโลก เพื่อยกย่องโรงแรมที่ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุข อนามัย และความปลอดภัยด้านสุขภาพครอบคลุมและเข้มงวด สอดคล้องกับระเบียบและมาตรการป้องกันสุขอนามัยที่ดี

ผอ.เอิบลาภ กล่าวว่าปัจจุบันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนถือเป็น “ทางรอด” ไม่ใช่กระแสหรือเทรนด์อีกต่อไป ในภาพรวมทั่วโลกเริ่มขยับมาตรฐานดังกล่าวแล้ว จึงขอให้ “ผู้ประกอบการไทย” ตื่นตัว เพื่อประโยชน์ของธุรกิจที่ยั่งยืน ช่วยลดต้นทุน ตอบโจทย์ความต้องการตลาด ลดความล้าหลัง ช่วยดูแลรักษาทรัพยากรให้คงความอุดมสมบูรณ์ต่อไป แล้วการท่องเที่ยวยั่งยืนสามารถทำได้ทุกระดับ สร้างประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วนของประเทศและโลกนั่นเอง

เรื่องโดย #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen