กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน สานต่อโครงการ “Thai Touch Season 3” พัฒนานักออกแบบไทยปีที่ 3 ติวเข้ม เฟ้นหานักออกแบบหน้าใหม่ ก้าวสู่เวที “อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว”
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน จัดโครงการ Thai Touch Season 3 เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยแบบ 360 องศา อีกทั้งสร้างการเติบโตของธุรกิจแฟชั่นทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างยั่งยืน โดยกิจกรรม Thai Touch ปีที่ 3 นั้น มุ่งเน้นที่จะผลิตนักออกแบบไทยหน้าใหม่ที่มีคุณภาพ และพัฒนานักออกแบบไทยรุ่นใหม่ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพและสร้างโอกาสในการนำเสนอผลงานในระดับสากล
และเพื่อให้นักออกแบบหน้าใหม่ที่ผ่านเข้ารอบทั้ง 24 คนได้พัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ การค้นหาแรงบันดาลใจ การสร้างแบรนด์ รวมถึงเรียนรู้และแก้ปัญหาเหตุการณ์เฉพาะหน้า ตลอดจนได้รับความรู้ในเชิงการตลาดเพิ่มมากขึ้น วิจักขณ์ รัตนสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมจึงจับมือกับ ชนิสา แก้วเรือน ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน จัดกิจกรรมอบรมอย่างเข้มข้นตลอด 3 วัน 2 คืน โดยมีกลุ่มดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทยในนาม ‘สมาคมแฟชั่นดีไซน์เนอร์กรุงเทพ’ หรือ Bangkok Fashion Society (BFS) เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในการอบรมทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ อาทิ ภาณุ อิงคะวัต Executives Creative Director Greyhound Group, จิตต์สิงห์ สมบุญ Creative Consultant, ผศ.ดร.อโนทัย ชลชาติภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นอกจากนี้ยังมีดีไซเนอร์แถวหน้าที่แท็กทีมกันมาถ่ายทอดความรู้อย่างไม่หวงวิชา ไม่ว่าจะเป็น พลพัฒน์ อัศวะประภา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Asava และ ASV , ประภากาศ อังคุสิงห์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ HOOK’S , ภูวภวิศ กฤตพลนารา ดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์ Issue , ณัฏฐ์ มั่งคั่ง จากแบรนด์ Kloset , มิลิน ยุวจรัสกุล ผู้ก่อตั้งแบรนด์ MILIN , สิริอร เฑียรฆประสิทธิ์ และ ภูมิศักดิ์ เฑียรฆประสิทธิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Painkiller , นันธนุช วงศ์พัวพันธ์ ดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์ TUTTI , ธนาวุฒิ ธนสารวิมล ดีไซเนอร์ จากแบรนด์ T & T และ อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์ กรรมการบริหารแบรนด์ VICKTEERUT
ทั้งนี้ ภาณุ อิงคะวัต เผยถึง Key Success หรือสิ่งที่จะทำให้ดีไซเนอร์หน้าใหม่ก้าวสู่คำว่าประสบความสำเร็จนั้นประกอบด้วยปัจจัยหลักๆ ได้แก่ DNA หรือความสามารถของแต่ละคน นั่นหมายถึงความคิดในการสร้างสรรค์งานให้โดดเด่น มีความน่าสนใจ และสร้างความแตกต่างทั้งในแง่การออกแบบและคุณภาพ ถัดมาคือ ต้องมีความสมดุล
ระหว่างคำว่านักธุรกิจกับนักสร้างสรรค์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักออกแบบต้องเข้าใจการตลาด มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน สามารถออกแบบสินค้าให้สนองความต้องการของตลาดได้ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ วางโพซิชั่นนิ่งของแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง รวมถึงเข้าใจการบริหารงาน บริหารองค์กรอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสำคัญนั่นคือ เงินลงทุน หรือเงินหมุนเวียน เนื่องจากการทำธุรกิจจำเป็นต้องใช้เงินหมุนเวียนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นค่าต้นทุนสินค้าที่ผลิต ค่าก่อสร้างร้าน ค่าเช้าพื้นที่ รวมถึงเงินหมุนเวียนต่างๆ ซึ่งการขายผ่านออนไลน์ก็เป็นตัวช่วยอีกวิธีหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความยั่งยืนของแบรนด์ออนไลน์ยังไม่ค่อยเห็นในระยะยาว และถัดมาคือการมีผู้สนับสนุนในด้านขององค์ความรู้ โดยเฉพาะการก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ โดยแบรนด์ต้องพร้อมในการไปได้จริง ซึ่งหากมีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนและผลักดันอย่างจริงจังก็จะทำให้ดีไซเนอร์ไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เนื่องจากศักยภาพการออกแบบของดีไซเนอร์ไทยได้รับการยอมรับค่อนข้างมาก และท้ายสุดคือเรื่องของความทุ่มเท ที่นักออกแบบทุกคนจะต้องพร้อมเผชิญกับปัญหาและมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ดีไซเนอร์มืออาชีพอย่างแท้จริง
ด้าน พลพัฒน์ อัศวะประภา ในฐานะนายกสมาคมแฟชั่นดีไซน์เนอร์กรุงเทพ และ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Asava และ ASV กล่าวว่า “นักออกแบบหลายคนยังอยู่ในโลกของความฝัน เรื่องของฝีมือหรือแนวคิดหลายคนมีสิ่งที่น่าสนใจมากแต่สุดท้ายแล้วนักออกแบบต้องทำงานเชิงพาณิชย์ ตรงนี้สำคัญมาก จุดเด่นของนักออกแบบหน้าใหม่ที่ผ่านเข้ารอบมาถึงตรงนี้ หลายคนเป็นผู้ประกอบการแล้วจริงๆ ตั้งต้นเป็นนักธุรกิจแล้ว เริ่มรู้จักแล้วว่าการเป็นนักออกแบบที่ดี หรือการเป็นเจ้าของแบรนด์มีองค์ประกอบอะไรบ้าง แต่บางคนยังเป็นนักศึกษาหรือเพิ่งจบ การตั้งสมการในการออกแบบจึงมีข้อจำกัดในเชิงของความเป็นไปได้ หรือการต่อยอดในอนาคต ซึ่งการจะเป็นนักออกแบบที่จะประสบความสำเร็จได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีตัวตนของตัวเองที่ชัดเจน หลังจากนั้นจึงจะพัฒนาให้เป็นที่ต้องการของตลาด และเข้าใจตลาดก็ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นการพัฒนาให้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสม่ำเสมอ และต่อยอด การอบรมตรงนี้จะช่วยแนะแนววิธีคิดให้กับนักออกแบบหน้าใหม่ได้ นอกจากนี้คือความมีวินัย และความเพียรของนักออกแบบ รวมถึงความกระหายที่อยากจะประสบความสำเร็จ”
ทั้งนี้หลังจากนักออกแบบหน้าใหม่ผ่านการติวเข้มจากดีไซเนอร์ตัวจริงแล้ว คณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบเพียง 10 คน และหลังจากนี้ทุกคนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเวิร์คช็อปแบบตัวต่อตัวกับเหล่าดีไซเนอร์แถวหน้าเพื่อผลิตชิ้นงานจริงและเฟ้นหาผู้เข้ารอบสุดท้าย โดยผู้ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายจะได้นำผลงานไปร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ระดับโลกภายใต้ชื่อ อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว (Amazon Fashion Week TOKYO) ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างวันที่ 16-21 ตุลาคมศกนี้ ซึ่งนับเป็นเวทีระดับสากลที่จะช่วยประกาศศักยภาพของดีไซเนอร์ไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่วงการแฟชั่นโลกและเป็นบันไดให้ก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป
ติดตามรายละเอียดและความเคลื่อนไหวของกิจกรรม Thai Touch Season 3 พร้อมรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบได้ที่ www.thaitouchproject.com