เปิดประสบการณ์ผู้ชนะเลิศโครงการ “พัฒนานักออกแบบไทยปีที่ 3” (Thai Touch Season 3)

 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน ส่งเสริมศักยภาพไทยดีไซเนอร์
รุ่นใหม่ แบบ
360 องศา นำ 3 ผู้ชนะเลิศโครงการ Thai Touch Season 3  โชว์ผลงานแฟชั่นบนเวทีระดับโลก “อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว” ยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยพร้อมเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ไทยดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ก้าวสู่ความสำเร็จในระดับสากล

 3 ดีไซเนอร์ไทยผู้ชนะเลิศโครงการ Thai Touch. Season 3” พัฒนานักออกแบบไทยปีที่ 3 ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยแบบ 360 องศา อีกทั้งสร้างการเติบโตของธุรกิจแฟชั่นทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างยั่งยืน  เผยโฉมผลงานคอลเลคชั่น Spring/Summer 2017 สู่เวทีระดับโลก “อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว”  เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ณ ฮิคาริเอะ ฮอลล์ (Hikarie Hall)  กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

Advertisement

งานนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่โดยได้รับเกียรติจาก บวร สัตยาวุฒิพงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกรรม) ประจำกรุงโตเกียว พร้อมด้วยผู้มีเกียรติจากเมืองไทย อาทิ พรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, ชนิสา แก้วเรือน ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน , เยาวนิจ แซ่ตัง ผู้อำนวยการส่วนเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ สำนักพัฒนาผู้ประกอบการ ตลอดจนดีไซเนอร์ชั้นนำ อาทิ พลพัฒน์ อัศวะประภา นายกสมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพ และ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Asava และ ASV , ภูภวิศ กฤตพลนารา ดีไซเนอร์จากแบรนด์ ISSUE และ ธนาวุฒิ ธนสารวิมล ดีไซเนอร์ จากแบรนด์ T & T ร่วมเดินทางไปชมแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ด้วย

พรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรม Thai Touch ปีที่ 3 มุ่งเน้นที่จะผลิตนักออกแบบไทยหน้าใหม่ที่มีคุณภาพ และพัฒนานักออกแบบไทยรุ่นใหม่ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความพร้อมในการก้าวสู่วงการอุตสาหกรรมแฟชั่น และสร้างโอกาสในการนำเสนอผลงานในระดับสากล ซึ่งการพัฒนานักออกแบบแฟชั่น ถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมแฟชั่น ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกับศูนย์การค้าสยามพารากอน ในฐานะเป็นศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลกและเป็นผู้นำด้านแฟชั่นในธุรกิจค้าปลีกที่มีชื่อเสียงจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้น โดยมีเป้าหมายสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยแบบ 360 องศาเพื่อพัฒนาไปสู่ Industry 4.0 สร้างการเติบโตของธุรกิจแฟชั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างยั่งยืน

.(จากซ้าย) ชนิสา แก้วเรือน ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน , พรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และบวร สัตยาวุฒิพงศ์ อัครราชทูต ที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกรรม) ประจำกรุงโตเกียว

ด้าน ชนิสา แก้วเรือน ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน เผยว่า การที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ได้รับเกียรติให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Thai Touch Season 3 จึงมีความตั้งใจที่จะช่วยสนับสนุน ส่งเสริม
นักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ซึ่งตลอดระยะเวลาของการเฟ้นหาผู้ชนะเลิศของโครงการ นักออกแบบ

Advertisement

ทุกคนที่ผ่านเข้ารอบต่างได้รับความรู้ทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติจากบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อาทิ ดีไซเนอร์ นักวิชาการ และสไตล์ลิสต์ชื่อดัง รวมถึงการเวิร์คช็อปและโค้ชเพื่อผลิตชิ้นงานจริง โดยแบรนด์ดีไซเนอร์ระดับไอคอนจากสมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพ ฯ หรือ Bangkok Fashion Society (BFS) และสำหรับผู้ชนะเลิศทั้ง 3 คนในปีนี้ที่ได้รับโอกาสในการแสดงผลงานแฟชั่นโชว์บนเวที อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว (Amazon Fashion Week  TOKYO) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 16-21 ตุลาคม 2560 จึงนับเป็นครั้งแรกของเหล่านักออกแบบหน้าใหม่ ที่จะได้เปิดประสบการณ์บนเวทีระดับสากล

 

สำหรับ 3 ดีไซเนอร์ที่นำผลงานไปร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ระดับโลก “อเมซอน แฟชั่น วีค โตเกียว” ได้แก่ จิรวัฒน์ ธำรงกิตติกุล จากแบรนด์ JIRAWAT (จิรวัฒน์) , ธีธัช ควรตระกูล จากแบรนด์ TITAT (ธีธัช) และ ฐกร วรรณวงษ์ จากแบรนด์ TAKARA WONG (ทาการะ วอง) โดยทุกคนต่างได้ร่วมกิจกรรมต่างๆ และเรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์แฟชั่นโชว์ ตลอดจนการได้พบปะบริษัทผู้ผลิตผ้าในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเปิดประสบการณ์ให้กับดีไซเนอร์ไทยตลอดระยะเวลาทั้ง 4 วัน

จิรวัฒน์ ธำรงกิตติกุล  ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่สร้างสรรค์ผลงานคอลเลคชั่น Spring/Summer 2018 ได้อย่าง
โดดเด่น โดยใช้เทคนิคการปักครอสสติตช์ (Cross-stitch) มาผสานกับวัสดุใหม่ๆ อย่างลงตัว  กล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการนำผลงานไปแสดงบนเวทีระดับอินเตอร์ว่า “ตอนแรกคิดว่าแค่ไปทำแฟชั่นโชว์ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ได้รับมีมากกว่านั้น เพราะตลอดระยะเวลา 4 วัน ได้มีโอกาสเรียนรู้เบื้องหลังการทำงาน ทั้งแบ็คเสตจ การจัดไฟ ได้รับประสบการณ์ใหม่ที่มีค่าอย่างยิ่ง อีกทั้งทีมงานได้พาไปพบซัพพลายเออร์ที่ผลิตผ้าให้กับแบรนด์ใหญ่ๆ รวมถึงได้ไปดูโชว์รูมผ้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนทั่วไปจะได้เข้าไป”

นอกจากนี้สิ่งที่ จิรวัฒน์ รู้สึกประทับใจมากที่สุดคือการได้รับคำแนะนำจากระดับ ซีเนียร์ เอดิเตอร์ของนิตยสารโว้ค อิตาลี ซึ่งเดินทางมาดูการฟิตติ้งถึงสตูดิโอ รวมถึงการได้รับความสนใจจากสื่อทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ ทำให้มีคนติดตามแบรนด์ จิรวัฒน์มากขึ้น จึงตั้งใจจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาพัฒนาคุณภาพของงานและสร้างแบรนด์ให้เติบโตต่อไป

ด้าน ธีธัช ควรตระกูล  กับผลงานคอลเลคชั่น “RITE” ที่สะท้อนถึงรากเหง้าความเป็นไทย โดยจะเน้นการผสมผสานวัสดุที่แปลกใหม่ เข้าไปในผ้าทอไทย ทั้งใยสังเคราะห์ ผ้าลินิน ใยกระดาษ เส้นหนังเทียม หนังหมู หนังแกะ หนังกลับ ฯลฯ ทำให้เกิดผ้าทอที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ดีไซเนอร์หน้าใหม่เผยถึงความรู้สึกว่า “การไปแสดงผลงานที่โตเกียวทำให้เห็นประสบการณ์จริงจากรุ่นพี่ๆ  กระตุ้นความรู้สึกให้ฮึกเหิมถึงเส้นทางสายแฟชั่นในอนาคตส่วนการอบรมครั้งนี้ต้องถือว่าเข้มข้นมาก เพราะได้เห็นการจัดการที่เป็นระบบและครบวงจร ตั้งแต่วัสดุ ไปจนถึงการ Buying ซึ่งทำให้เราเข้าใจระบบ Buying ของญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนกับเมืองไทย โดยเขาจะไม่ใช้ระบบ 1 แบรนด์ 1 ราว แต่เขาจะนำไปมิกซ์กับแบรนด์อื่นๆ เราจึงได้เห็นลูกค้าจริงๆ ว่านำเสื้อผ้าเราไปแมทช์กับอะไร”

ส่วนเรื่องกระแสตอบรับจากสื่อมวลชน และจากบายเออร์นั้น ดีไซเนอร์น้องใหม่ กล่าวต่อว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับหลายท่าน ก็ได้รับคำแนะนำให้รักษาคาแรกเตอร์ของแบรนด์ไว้  และอย่าเพิ่งคาดหวังกับคอลเลคชั่นแรก เนื่องจากจะต้องดูกันหลายๆ คอลเลคชั่น  แต่ที่น่าดีใจคือ มีเทรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นติดต่อให้ไปเข้าร่วมในเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งธีธัช คาดหวังว่าจะสามารถต่อยอดไปได้อีก ในขณะที่ตอนนี้ต้องกลับมาพัฒนาคุณภาพและลุคต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น

ปิดท้ายกับ  ฐกร วรรณวงษ์  ที่มาพร้อมคอลเลคชั่น “Wong 2108”  โดยสอดแทรกลูกเล่นด้วย Gimmick
ที่ซ่อนไว้สำหรับการ Styling ด้วยชิ้นเสื้อผ้าที่มีช่องกระเป๋าพลาสติกใส พร้อมการนำวัสดุต่างๆ อาทิ ผ้า plastic, ผ้า patent, ผ้า PVC , ผ้า nylon, ผ้า cotton denim หรือผ้ากันน้ำ เป็นต้น มาผสานกับผ้าใยธรรมชาติอย่างคอตตอน ซึ่งดีไซเนอร์คนเก่งกล่าวว่า “ได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีในเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจบแฟชั่นโชว์ มีสื่อจากหลายประเทศแชร์ภาพและแท็กขอรูปจำนวนมาก จึงทำให้รู้สึกประสบความสำเร็จในแง่ของการจดจำภาพลักษณ์ ซึ่งสิ่งที่คาดหวังต่อไปหลังจากนี้คือเรื่องของธุรกิจว่าจะต่อยอดไปได้อย่างไร เนื่องจากตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจ ด้วยลุคของแบรนด์เป็นสตรีทแวร์อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้อาจต้องกลับมาดูเรื่องของเนื้อผ้าและคุณภาพ เพราะผ้าของเราอาจจะบางไป และยังไม่หนักพอที่จะใส่ที่ญี่ปุ่น”

นอกจากนี้ ฐกร ยังกล่าวต่อว่า การได้เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นอีกโลกหนึ่ง และได้มีโอกาสพบปะพูดคุยตลอดจนแลกเปลี่ยนความเห็นกับบริษัทต่างๆ มากมาย อาทิ การได้ไปดูโรงงานผ้า บริษัทที่ทำด้านมาร์เก็ตติ้ง และ Buying ทำให้ได้รู้ว่าตลาดของญี่ปุ่นต้องทำอย่างไร คนญี่ปุ่นใส่อะไร ไม่ใส่อะไร เป็นต้น

ติดตามรายละเอียดและความเคลื่อนไหวของกิจกรรม Thai Touch Season 3 พร้อมผลงานของ 3
ดีไซเนอร์ได้ที่
www.thaitouchproject.com

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image