เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.อ.เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 กองกำลังเทพสตรี ได้รับรายงานจาก ร.ต.สุธานนนท์ พุ่มสร้าง หัวหน้าชุดจุดตรวจศิลาสลัก จปร. อ.กระบุรี จ.ระนอง ว่ามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบชาวเมียนมาและชาวโรฮีนจา 3 คน เดินลงมาจากภูเขามาขอน้ำและข้าวกินจากชาวบ้านพื้นที่ หมู่ 3 ต.มะมุ อ.กระบุรี ซึ่งอยู่ติดชายแดนไทย-เมียนมา พร้อมบอกว่ายังมีเพื่อนอีกจำนวนมากอยู่บนภูเขา โดยมีคนไทยนำมาทิ้งไว้ ซึ่งเป็นผลจากการถูกเจ้าหน้าที่กดดันและจับกุมขบวนการลักลอบขนต่างด้าวเข้าไทยอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
จากนั้นจัดกำลังทหารร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนที่ 415 เข้าไปยังบ้านของประชาชนที่แจ้งเข้ามา ได้พบชาวเมียนมาและชาวโรฮีนจาหรือชาวยะไข่ จากการสอบถามและรับทราบข้อมูลในเบื้องต้น จากนั้นให้ตัวแทนชาวเมียนมาและชาวโรฮีนจานำทางไปค้นหาผู้หลบซ่อนอยู่บนภูเขาโดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ได้มาทำร้ายหรือจับกุม แต่มาช่วยเหลือ กลุ่มเมียนมาและโรฮีนจาจึงยอมออกจากที่ซ่อน เจ้าหน้าที่จึงนำทั้งหมดมาที่จุดตรวจศิลาสลัก จปร. พร้อมประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนองเข้าตรวจสอบ รวมทั้งซื้ออาหารและน้ำดื่มให้แก่ทุกคนรวมทั้งหมด 24 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 20 คน ผู้หญิง 4 คน ตามหลักสิทธิมนุษยธรรม ซึ่งไม่ว่าเป็นคนชาติใดต้องได้รับการดูแลเบื้องต้นตามหลักสากล
ชาวโรฮีนจารายหนึ่งแจ้งว่า ทั้ง 24 คนต้องอดข้าวอดน้ำมาตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ในการเดินทางมามีชาวเมียนมาที่รู้จักกันบอกว่าสามารถหางานให้ทำที่ประเทศมาเลเซียได้ แต่ต้องจ่ายเงินคนละ 20,000 บาทเพื่อเป็นค่าเดินทาง เมื่อถึงประเทศมาเลเซีย ทุกคนสามารถเลือกงานที่อยากทำได้ จึงนั่งเรือลักลอบออกมาจากประเทศเมียนมา จากนั้นพบคนไทยพาขึ้นบนภูเขา ก่อนบอกให้รอแล้วหายไปไม่มารับ ทำให้อดข้าวอดน้ำเป็นเวลาถึง 6 วัน ต้องเดินลงมาจากภูเขาเพื่อขอข้าวขอน้ำจากชาวบ้านกิน กระทั่งได้พบเจ้าหน้าที่ทางการไทยพามากินข้าว อย่างไรก็ตาม จากการถูกหลอกมาครั้งนี้ ต่อไปจะไม่กลับมาเมืองไทยอีกแล้ว
พ.ต.ท.ชิติพัทธ์ ยางสวย สว.สืบสวน ตม.ระนอง กล่าวว่า จะนำตัวต่างด้าวทั้งหมดไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระนอง จากนั้นจะแยกกันสอบสวนทุกคนถึงที่มา และจะประสานทางการเมียนมาถึงเรื่องดังกล่าว เนื่องจากในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พอทราบชื่อบุคคลทั้งส่วนของชาวเมียนมาที่อยู่ในจังหวัดเกาะสองประเทศเมียนมา ที่ไปจัดหาคน และชาวไทยที่รับจ้างนำพากลุ่มคนดังกล่าวแล้ว เพื่อให้ทางการเมียนมาจับกุมกลุ่มคนชาวเมียนมาดังกล่าวมาสอบสวน ว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ เนื่องจากประเทศไทยและประเทศเมียนมาเน้นหนักเรื่องการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ร่วมกันเป็นอย่างมาก
