เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้า กรณีคดีของเสี่ยอ้วน หรือ นายปัญญา ยิ่งดัง กับ นายจิรศักดิ์ ผู้ต้องหาในคดีสังหารโหด น.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ และนายอนันตชัย จริตรัมย์ ที่ลานจอดรถตรงข้ามพระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจสถานีตำรวจนาจอมเทียน ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และสามารถจับกุม 2 ผู้ต้องหาได้แล้ว และยังเหลือเสี่ยอ้วนอีก 1 รายที่ยังหลบหนีอยู่ ล่าสุดผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ชลบุรี เปิดเผยกับสื่อมวลชนตามที่เป็นข่าวว่า ถ้าหากเสี่ยอ้วนต่อสู้ ตำรวจก็ต้องป้องกันตัวตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านตาปัน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเสี่ยอ้วน พบนางคิด ยิ่งดัง อายุ 59 ปี ผู้เป็นมารดา ไม่ขอให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด เนื่องจากอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนมีอาการเครียดและเกิดโรคความดันสูง และเบาหวาน ซึ่งเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาอีกด้วย แต่ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า ตนเองก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และอยากให้ลูกชายมอบตัวตามกฎหมาย และไม่อยากให้สัมภาษณ์ เท่านี้ครอบครัวก็ย่ำแย่พอแล้ว
ขณะที่น้องชายของเสี่ยอ้วน (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ไม่ยอมให้บันทึกภาพและสัมภาษณ์แต่อย่างใด และเปิดเผยเพียงสั้นๆ ว่า นานๆ ครั้ง ประมาณ 4-5 ปี พี่ชายถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักที ส่วนรถยนต์ CRV สีขาว หมายเลขทะเบียน 944 ภูเก็ต เป็นรถของพี่ชายซื้อไว้ให้ที่บ้านใช้มานานเกือบ 10 ปีแล้ว และตำรวจชลบุรีได้นำรถไปตรวจสอบ พร้อมกับตนเอง ซึ่งตนไป 2 วันและกลับมาบ้าน ส่วนรถยนต์ จนท.ตำรวจติดต่อมาแล้วว่าจะนำมาส่งรถคืนให้เพราะไม่เกี่ยวกับคดี ส่วนเสี่ยอ้วน พี่ชาย ตั้งแต่เกิดเหตุก็ไม่เคยเห็น ไม่ได้กลับมาบ้านแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีที่มีกระแสข่าวมาว่า ตำรวจตรวจพบสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเสี่ยอ้วนอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชา และคาดว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น แหล่งข่าวรายงานว่า อาจเป็นการตบตา จนท.ด้วยการขายหรือให้โทรศัพท์มือถือกับชาวกัมพูชาเข้าไปใช้ในฝั่งกัมพูชา เพื่อหลอกและตบตา จนท.ว่าตนเองได้ข้ามฝั่งไปกัมพูชาแล้ว และอาจยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทยก็เป็นได้ในขณะนี้
