ศรีสุวรรณจ่อฟ้องหน่วยงานรัฐ ส่อยื้อไร้ข้อสรุปเอาผิดเจ้าอาวาสวัดดังตัดโค่นต้นศรีมหาโพธิ์ทรงปลูกบนเขาช่องกระจก

จากกรณีต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูก เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาช่องกระจก ในเขตอภัยทานของวัดธรรมิการามวรวิหาร ตรงข้ามศาลาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2501 ถูกเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวิหารตัดโค่นถอนรากถอนโคน ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยทานโทษถึงสำนักพระราชวัง พร้อมตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงเพื่อหาหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่เขาช่องกระจกภายใน 15 วันนั้น

เมื่อวันที่ 17 กันยายน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า หลังจากมีการเผยแพร่ข้อมูลการตัดโค่นถอนรากถอนโคนต้นไม้ทรงปลูกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผลกระทบทางจิตใจกับประชาชนทั้งประเทศ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่กลับนิ่งเฉย มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามที่จะประวิงเวลา เนื่องจากขณะนี้ไม่มีหน่วยงานใดมีข้อสรุปเพื่อนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้าแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้เสียหายถือว่าเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อย่างชัดเจน ที่สำคัญยังไม่พบว่ามีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบพื้นที่เขาช่องกระจกที่อยู่หน้าศาลากลางจังหวัด

“ดังนั้นในเบื้องต้นนายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์และเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ในฐานะที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่บริเวณเขาช่องกระจกจะต้องมีแนวทางที่ชัดเจนเพื่อเอาผิดกับผู้ที่ละเมิดข้อกฎหมายโดยเร็ว ล่าสุดสมาคมฯจะฟ้องหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดเพื่อไม่ให้การตัดต้นไม้ในพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เงียบไปโดยปริยาย และเพื่อให้มีคำตอบที่ชัดเจนให้สังคมสาธารณะรับทราบ ขณะเดียวกันสมาคมฯยังไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้ากรณีการร้องเรียนถึงมหาเถระสมาคม เพื่อให้มีการพิจารณาลงโทษเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามภายหลังมีการกระทำในสิ่งที่ไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง ” นายศรีสุวรรณ กล่าว

นายสุวิทย์ พุกกะเวส น่ายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการใดๆเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งให้เดินทางไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงระดับจังหวัดเพื่อหาหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบพื้นที่เขาช่องกระจก

Advertisement

ล่าสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา กล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งให้นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอบหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรกรณีนายพัลลภชี้แจงว่า ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยเพื่อหาข้อยุติ กรณีวัดธรรมิการามอาจครอบครองพื้นที่เขาช่องกระจกก่อน พรบ.ป่าไม้ 2484 หลังพบหลักฐานว่ามีการก่อตั้งวัดเมื่อปี 2465 และมีการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองบนเขาช่องกระจก กรณีดังกล่าวจะให้กรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าวัดครอบครองมาก่อน พรบ.ป่าไม้หรือไม่ ถือว่าเป็นการยืดระยะเวลาตีความออกไปอีกอย่างน้อย 1- 2 ปี จึงจะมีข้อยุติ ทำให้ไม่มีหน่วยงานใดแจ้งความดำเนินคดีกับวัดในฐานะนิติบุคคลและเจ้าอาวาสวัดที่ตัดโค่นต้นไม้ทรงปลูก และทำให้ข้าราชการระดับสูงที่ทำหน้าที่ในปัจจุบันย้ายหรือเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้คณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่เพียงให้ความเห็นเท่านั้นไม่ใช่ข้อยุติทางกฎหมายเช่นเดียวกับศาลยุติธรรมและวัดในฐานะผู้ใช้ประโชน์ ควรยื่นให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอวินิจฉัย ไม่ใช่หน่วยงานระดับจังหวัดที่มีหน้าที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ

“ สมาคมฯได้พิจารณาข้อมูลเบื้องต้นพบว่าหากวัดครอบครองพื้นที่จริง เมื่อมีข้อบัญญัติตาม พรบ.ป่าไม้ 2484 และมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 เหตุใดวัดจึงไม่ยื่นขอใช้ประโยชน์ให้ถูกต้อง เนื่องจากที่ตั้งวัดเดิมมีโบสถ์เก่าอยู่ที่คณะเหนือไม่ใช่พื้นที่ปัจจุบัน นอกจากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบว่าวัดใช้ประโยชน์ในลักษณะใดบนพื้นที่ภูเขาที่มีรความลาดชันเกิน 35 องศา เนื่องจากปัจจุบันวัดธรรมิการามยังไม่มีหนังสือยืนยันการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว และ ระหว่างที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ปัญหานี้จะส่งผลกระทบกับการใช้งบประมาณกว่า 70 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์บนเขาช่องกระจกตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน หน่วยงานที่ใช้งบประมาณดังกล่าวต้องมีคำตอบให้ประชาชนรับทราบว่าได้ขออนุญาตใช้พื้นที่จากหน่วยงานใด “นายศรีสุวรรณ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image