จากกรณีที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค จับกุม นายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือ ปลัดแมน ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี พร้อมพวกรวม 11 คน ขณะเข้าไปในป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค พร้อมของกลางอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก รวมทั้งซากส่วนขาของหมีขอ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา นั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก นางสาว เนตรนภา งามเนตร ผช.หน.อช.ไทรโยค พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุในคดีดังกล่าว เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม และร่องรอยของการกระทำผิด ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 8 ต.ค.61 ตามที่ผู้ต้องหาให้การ ซึ่งการเดินทางต้องใช้รถโฟร์วิลเท่านั้น เนื่องจากเส้นทางยากลำบาก เป็นทางลาดชันขึ้นลงเขา และข้ามล้ำห้วยเป็นระยะๆ ตลอดเส้นทาง จึงทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเล
โดยเมื่อเวลา 15.00 น. คณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางเข้าไปถึงจุดแรก ที่บริเวณพิกัด UTM_WGS 1984 ZONE 47 P0479485E 1574422N ป่าเขาพลู หมู่ที่ 8 ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ภายในป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่ และป่าแม่น้ำน้อย ห่างจากแนวเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค 1.289 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่พบขบวนรถออฟโรด จำนวน 6 คัน จากนั้นได้ปูพรมค้นหน้าหลักฐาน โดยเดินเท้าค้นหาเป็นระยะทาง 2 กม. โดยใช้เวลา 30 นาที พบ ปลอกกระปืน จำนวนหนึ่ง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยยังไม่เปิดเผยในรายละเอียด
ต่อมาในเวลา 16.30 น. คณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปถึงจุดที่สอง เป็นจุดที่ปลัดอำเภอและคณะพักแรม ที่ภายในสำนักสงฆ์เต่าดำ โดยมี นายต้าต้า ไม่มีนามสกุล ชาวมอญ ซึ่งเป็นผู้ดูแลสำนักสงฆ์ ออกมาพบเจ้าหน้าที่ พร้อมกับให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะออฟโรดได้เข้ามาพักค้างแรม โดยในช่วงกลางดึกไม่ได้มีผู้ใดแยกตัวออกไปนอกเขตสำนักสงฆ์ กระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 7 ต.ค.61 เจ้าหน้าที่จึงทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันออกค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมบริเวณโดยรอบทั้งหมด กระทั่งพบร่องรอยของการก่อไฟ เพื่อใช้ในการประกอบอาหาร และห่างไปเล็กน้อย พบ เศษซากชิ้นเนื้อ ขนสัตว์ และกรามล่างของสัตว์ไม่ทราบชนิด รวมทั้งเศษกระดูกจำนวนหนึ่ง กระจายอยู่รอบๆ บริเวณที่ก่อกองไฟ
หลังจากนั้นเวลาประมาณ 17.30 น. นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี รักษาการหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษ ผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (ฉก.พญาเสือ) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน สัตวแพทย์ของกรมอุทยานฯ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่มาสมทบ เพื่อร่วมตรวจหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ โดยจะนำหลักฐานที่เก็บได้ทั้งหมดไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง รวมทั้งตรวจหาดีเอ็นเอเพื่อเปรียบเทียบกับซากหมีขอของกลางที่ตรวจยึดได้จากผู้ต้องหา
ซึ่งจนถึงขณะนี้คณะเจ้าหน้าที่ก็ยังคงตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมอยู่ เนื่องจากยังไม่พบซากส่วนหัวและชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของสัตว์ อย่างไรก็ตามคาดว่าในวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จะกระจายกำลังปูพรมเพื่อค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกครั้ง
