อัยการชี้ ‘พ่อข่มขืนลูก’ โทษหนักขั้นจำคุกตลอดชีวิต

สืบเนื่องกรณีข่าวพ่อข่มขืนลูกสาว เหตุเกิดที่จังหวัดสกลนคร โดยคาดว่าแม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ตามที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้โดยเจ้าตัวยังให้การปฏิเสธทั้ง 5 ข้อหานั้น

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสกลนคร กล่าวว่าในกรณีถ้าได้ความจริงว่าพ่อข่มขืนลูกสาวตั้งแต่อายุ 12 ปี ซึ่งกระทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี จะมีโทษหนักจำคุกตั้งแต่ 7-20 ปี โทษปรับและหรือจำคุกตลอดชีวิต ขณะเดียวกันถ้าในกรณีที่เป็นพ่อลูกกันพ่อกระทำต่อลูกผู้สืบสันดานกฎหมายเพิ่มโทษเป็น 3 เท่า ส่วนกรณีที่พ่อกระทำต่อลูกตั้งแต่อายุ 12–17 ปี ในปัจจุบัน ผู้กระทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายอาญา 90 ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนคุณแม่ของเด็กจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ก็อยู่ที่ข้อเท็จจริงจากเด็ก ว่าแม่มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือไม่มีการสนับสนุนส่งเสริม มีการห้ามปรามหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร เช่นจับแขนจับขาให้พ่อกระทำต่อลูก ตอนนี้กฎหมายได้มีการแก้ไขใหม่แล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงก็สามารถกระทำความผิดฐานกระทำชำเราได้ เพราะว่ากฎหมายไม่ได้หมายความว่าใช้เพียงอวัยวะเพศกระทำต่ออวัยวะเพศ แต่กฎหมายบอกว่าใช้สิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทำต่ออวัยวะเพศด้วย ซึ่งแม่จะผิดหรือไม่ก็อยู่ที่การสอบสวนของพนักงานสอบสวน

นายวรเทพ กล่าวต่อว่า จากข่าวที่เกิดขึ้น นอกจากขบวนการดำเนินคดีแล้ว ยังมีขบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่เกิดขึ้น ก็คือเด็กถูกกระทำจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา และอีกอย่างมารดาก็ควรจะปกป้อง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องลูกได้ ทีนี้ขบวนการนี้ก็อาจจะก่อให้เกิดการกระทำที่ซ้ำอีกได้ ซึ่งถ้าเกิดกรณีกระทำซ้ำอีก หากเราไม่ใช้ขบวนการทางกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ปี พ.ศ.2536 เรียกว่าโครงการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ซึ่งเบื้องต้นทางบ้านพักเด็กก็ได้เข้าไปช่วยเหลือและให้การคุ้มครองเด็ก ซึ่งโครงการนี้เราอาจจะเอาเด็กเข้ามาอยู่บ้านพักเด็ก และถ้ามีความจำเป็นหรือมีท่าทีว่าจะกระทำทารุณกรรมซ้ำอีก ก็อาจจะเรียกร้องต่อศาลให้เข้ามาควบคุมดูแลไม่ให้เกิดกระทำผิดซ้ำอีก ในส่วนของอัยการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งเรามีการคุ้มครองสิทธิช่วยเหลือประชาชนตามกฎหมาย เราได้มีการประสานให้ความรู้ให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำต่อบ้านพักเด็กและก็ พมจ.ของจังหวัด ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาของเรื่องนี้ ซึ่งเป็นภารกิจและอำนาจโดยตรง ซึ่งเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ที่จะให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ซึ่งในเคสนี้เราก็ได้ให้ความคิดเห็นว่า ควรที่จะให้ขบวนการคุ้มครองทางเสรีภาพคุ้มครองเด็กเข้ามาช่วยเหลือและเยียวยาด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะมีกฎหมายคุ้นครอง ก็ขึ้นอยู่กับเด็กว่าอยู่ที่ไหนแล้วมีความสุขซึ่งตอนนี้เด็กอยู่กับอา และที่น่าเป็นห่วงคือน้องผู้หญิงอีกคน ตรงนี้เราก็ต้องหาแนวทางป้องกันด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image