วันนี้ 24 ต.ค.62 ผู้สื่อข่าว จ.ปราจีนบุรี ได้รับแจ้งจากหน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญู จ.ปราจีนบุรีว่า ที่ หมู่ 8 หว้าเอน ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี มีชาวบ้านได้พบเห็นโขลงช้างป่าเกือบ 20 ตัวลงมาหากินข้างป่ามันสำปะหลัง ตั้งแต่ช่วงค่อนรุ่งเมื่อเข้าผ่านมา(24ต.ค.)
จึงรีบแจ้งผู้ใหญ่บ้านช่วยแจ้งตำรวจ สภ.ระเบาะไผ่ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ประสานป่าไม้เขาอ่างฤาไน (ป่ารอยต่อ 5จังหวัดจ.ฉะเชิงเทรา,จ.สระแก้ว,จ.ชลบุรี,จ.จันทบุรี,จ.ระยอง มาผลักดันช้างออกนอกพื้นที่โดยเร็ว เกรงว่าช้างฝูงนี้ยังอยู่ในพื้นที่เกรงว่าค่ำคืนนี้จะมีช้างอีกโขลงใหญ่ ตามมสมทบอาจไม่ปลอดภัยหลังได้รับแจ้งผู้นำหมู่บ้าน ได้แจ้งตำรวจ สภ.ระเบาะไผ่ ทราบในทันที
ต่อมาเวลา11.00 น.เจ้าหน้าที่ป่าไม้จากเขาอ่างฤาไนซึ่งนำโดยนายธวัชชัย ช้างพาล หัวหน้าชุด พร้อมกำลังชุดไล่ล่า 6 นายมาตรวจสอบฝูงช้างดังกล่าวและได้วางแผนร่วมกับตำรวจ กู้ภัยร่วมกตัญญู 15 นาย ค้นหาช้างป่าที่พบเห็น ใช้เวลาค้นหาในป่ายูคาอยู่นานแต่ก็ยังไม่พบโขลงช้างดังกล่าว พบเพียงรอยเท้าและมูลช้างอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ยังไม่ลดความพยายามยังคงตามรอยช้างฝูงดังกล่าวต่อไป กระทั่งพบพบเห็นโขลงช้างโขลงใหญ่ราว18 ตัวพากันหลบอยู่ในป่า
เวลา 15.00น. เจ้าหน้าที่วางแผนให้ตำรวจกับกู้ภัยร่วมกตัญญูปิดถนนสาย 359 ระหว่างบ้านหว้าเอน-อ่างตะแบกจากนั้นจุดประทัดไล่ช้างฝูงดังกล่าวข้ามถนนกลับไปยังเทือกเขาหินซ้อนได้เป็นผลสำเร็จ
เจ้าหน้าที่ป่าไม้กล่าวว่า สาเหตุที่ช้างป่าเดินทางข้ามจังหวัดจากฉะเชิงเทราในระยะไกลกว่า 100 กม. มาถึง จ.ปราจีนบุรีซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อกันเนื่องจากในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นผืนป่าพนมสารคามในอดีต แต่ช่วงสงครามเกาหลีเหนือ-ใต้ ,เวียดนาม ได้มีการตัดถนนผ่านผืนป่าดังกล่าว และ เมื่อป่าราบต่ำผืนสุดท้ายในประเทศไทย หรือป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ของภาคตะวันออก อันประกอบ จ.ฉะเชิงเทรา,จ.สระแก้ว,จ.ชลบุรี,จ.จันทบุรี,จ.ระยอง ซึ่งมีพื้นที่จำกัด อาหาร-น้ำสำหรับสัตว์ป่ามีน้อย แต่ช้างป่าในพื้นราบ ที่ผสมพันธุ์กันง่ายกลับมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงมักออกนอกพื้นที่สราางปัญหาระหว่างคนกับช้างป่าเนือง ๆ
