‘เจ้าของสวนน้ำ’ โร่แจ้งความเอาผิด “หน.ชป.ศปป.4 กอ.รมน.” หมิ่นประมาทและผิดพ.ร.บ.คอมฯ

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 31 ตุลาคม ที่ สภ.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ นายอนัตต์ณังธะโคตร ญาณ์ธนโชติ หรือ“อาจารย์ชา” เจ้าของโครงการชุมชนธะธรรมชาติ พร้อมนายปณิธาร ชวาลสันตติ เจ้าของที่ดิน 57 แปลงบริเวณรอยต่ออ.หล่มเก่า-หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งอยู่ระหว่างทางราชการพิจารณาเพิกถอนโฉนด รุดเข้าพบ ร.ต.อ.พิทักษ์ คำฝั้น ร้อยเวร สภ.หล่มเก่า เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หน.ชป.ศปป.4 กอ.รมน. โดยอ้างว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณารวมทั้งกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากนั้นได้มอบสำเนาข่าวจากสื่อต่างๆให้แก่พนักงานสอบสวนพร้อมให้ปากคำในเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม นายอนัตต์ณังธะโคตร ให้สัมภาษณ์ก่อนจะเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ได้รับความเสียหายจากการถูกกล่าวหา เพราะทำงานเพื่อสังคมมาตลอด และหากดูจากสภาพข่าวไม่ใช่กล่าวหาแค่ตนคนเดียวหรือที่ตรงนี้ที่เดียว มีการกล่าวหาเจาหน้าที่รัฐที่ดินผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งคงไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐหรือทางดีเอสไอหรือที่ดินก็ดี ที่ดิน 1,800 ไร่ เขาทำมาเรียบร้อยและมีคำสั่งแล้วและนั่นก็ถูกเป็นที่ดิน แต่พอออกข่าวที่ดิน 1,800 ไร่และภาพเป็นที่ดินของเรา ซึ่งที่ดินของตนไม่ใช่ 1,800 ไร่ที่สั่งเพิกถอนมา และพื้นที่ของตนย์เป็นภูบ่องแต่ไม่ใช่ภูขี้ไก่

“แต่เวลาไปออกข่าวบอกว่าสร้างสวนน้ำในภูขี้ไก่และคนฟังไม่รู้ก็เชื่อไป และยังไปออกข่าวว่าเราทำลายป่า อาจารย์เป็นผู้อนุรักษ์ป่าจึงมาทำพื้นที่บริเวณเพราะปลูกอะไรไม่ได้ ดินเป็นลูกรัง น้ำก็ไม่มี ก็พยายามทำให้มีน้ำสมบูรณ์ขึ้นมาให้ปลูกผักได้ แต่อาจารย์ไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องอะไร แต่ดันไปออกโฆษณาว่าเราทำพิธีเปิดสวนน้ำให้ลองเข้าไปดูว่ามีสวนน้ำตรงไหน แต่ที่เราทำในวันนั้นก็คือการสัมมนาเรื่องเกษตรอินทรีย์และเซ็น MOU ร่วมกับสำนักงานต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องการเกษตรปลอดสารพิษ”นายอนัตต์ณังธะโคตรกล่าว

นายอนัตต์ณังธะโคตรกล่าวว่า โครงการที่ทำร่วมกันมี 2,000 กว่าไร่ แต่ชาวบ้านหากเห็นโครงการปลูกผักปลอดสารพิษมาร่วมโครงการก็ร่วมๆ 3,000 ไร่ หากทำสำเร็จสิ่งที่จะเกิดขึ้นมีมากมาย และช่วยคนไม่ต้องไปกินสารพิษ มีอาชีพการงาน และได้ของแถมเป็นการท่องเที่ยวไปในตัว ส่วนเรื่องสวนน้ำก็จะแต่เป็นของแถมในที่กันดารหากเปิดสวนน้ำได้เป็นอะไรที่น่าทึ่ง แต่เป็นแนวคิดในภายหลังที่ทำเรื่องเหล่านี้สำเร็จแล้ว ข่าวที่ออกไปเลยมั่วซึ่งมั่วตรงนี้ไม่เป็นไรแต่ดันไปมั่วที่ป่า ในข่าวบอก 1,800 ไร่ ที่รอการเพิกถอนแต่เวลาไปออกข่าวเอาภาพที่ดินของเรา สถานที่ของเราและการจัดงานของเรา เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่

Advertisement

“คนที่ไม่รู้ก็ต้องด่าทำลายพื้นที่ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยู่เฉย ปกติที่ผ่านมาผมก็เลยมีข่าวพาดพิงในเรื่องร้ายๆมาตลอด แต่ไม่เคยโต้ตอบอะไรใครเลย ถือว่าช่างมันเป็นข่าวส่วนตัว แต่วันนี้ไม่อยากอยู่นิ่งแล้ว เพราะไปกระทบถึงหลายคนเยอะแยะ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นยและอาจารย์รับไม่ได้เลย เขาเป็นข้าราชการและมาดูถูกข้าราชการซึ่งในข่าวก็มีอยู่ว่า ข้าราชการบางคนทำหน้าที่โน้นนี่ ซึ่งคงไม่ใช่จึงจะไม่อยู่นิ่ง”อาจารย์ชา

นายอนัตต์ณังธะโคตรกล่าวว่า การที่ต้องแจงความ พ.อ.พงษ์เพชร เพราะสื่อข้อความทางไลน์ไปก่อนทำให้สื่ออื่นนำเสนอตาม และข้อความก็ส่อแววว่ามีการเปิดสวนน้ำในป่าในที่อนุรักษ์จึงต้องขอความเป็นธรรม และยืนยันว่าที่ดินของอาจารย์ถูกต้อง เพราะมีการตรวจสอบกันไปหมดแล้ว ให้ถามตัวเองก่อนว่าหากจะไปซื้อที่ดินหรือทำธุรกิจต้องตรวจก่อนหรือไม่ว่าที่ดินตรงนี้ถูกต้องหรือไม่ อาจารย์ตรวจมาทุกอย่างและเช็คทุกอย่าง เคยมีปัญหาดีเอสไปจับมาตรงไหนหรือตอนไหน และจับกุมเสร็จตรวจสอบผลเป็นอย่างไร เมื่อบริสุทธิ์ก็เลยทำ

“ที่ดินภูขี้ไก่ 1,800 ไร่ก็เคยมาบอกขายผมเพราะเห็นทำการเกษตร และที่ดินแปลงนี่อยู่ใกล้แม่น้ำป่าสัก ก็เลยมาดูมาตรวจสอบก็จริง ก็เป็นอย่างที่ข่าวออกแต่เป็นอีกที่ที่ภูขี้ไก่ และทางเจาหน้าที่ของรัฐก็ไปกั้นไม่ให้ใครประโยชน์แล้วในที่ 1,800 ไร่ แต่ยังไม่ยกเลิกโฉนดจริง แต่พ.อ.พงษ์ไปบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำอะไรเลยล่าช้า ทำให้ป่าเสียหายอยากให้ไปดูสักทีว่าป่าสมบูรณ์แล้ว” นายอนัตต์ณังธะโคตรกล่าวและว่า ที่ดินของอาจารย์ไม่ใช้พื้นที่ต้นน้ำเวลาฝนตกให้ไปดูร่องน้ำจะไหลไปที่อำเภอหล่มเก่า คนละฝั่งกับแม่น้ำป่าสัก

Advertisement

อย่างไรก็ตามนายอนัตต์ณังธะโคตร ยังกล่าวยืนยันอีกว่า ที่ดินภูขี้ไก่ 1,800 ไร่เป็นคนละแปลงกับที่ดินโครงการของอาจารย์ซึ่งเรียกว่าภูบ่อง จากนั้นได้นำสำเนารายชื่อผู้ถือครองที่ดินมาแสดงพร้อมสำเนาแผนผังแม่น้ำป่าสัก เพื่อจะยืนยันว่าที่ดินภูขี้ไก่กับภูบ่องคนละแปลง โดยอาจารย์ชาแสดงอาการไม่เชื่อและกล่าวย้ำว่า “ไม่เชื่อว่าข้าราชการสูงระดับนี้จะไม่รู้พิกัดตรงไหนเป็นภูขี้ไก่ หรือที่ดินที่ดีเอสไอสั่งให้ยกเลิก แต่มาคิดดูว่าไม่รู้จะมีอะไรกับเราหรือเปล่า และหากเป็นเขาว่าจริงโดยที่อยู่ในระหว่างรอการเพิกถอนจริง ก็ต้องวิเคราะห์ว่าขบวนการยังไม่เสร็จสิ้น ฉะนั้นจึงยังสรุปไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก แต่ปัญหาก็คือคุณไปเอา 1,800 ไร่อีกที่หนึ่งออกมา แต่เอาภาพที่ดินเราไปออกข่าวทั้งที่เป็นคนละจุด

“แต่หากจะมีการยกเลิกกันจริงๆ ก็ให้ทำเรื่องก็น้อมรับ แต่ต้องมีเหตุผลว่ายกเลิกเพราะอะไร ไม่ใช่สาเหตุกลั่นแกล้งกัน แต่หากบอกสาเหตุทำลายป่าให้คุณไปคิดใหม่”นายอนัตต์ณังธะโคตรกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image