ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 62 “พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท” โดยโพสต์ข้อความว่า เกี่ยวกับพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดรัตนานุรักษ์ (โคกโก) และเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี จ.นราธิวาส ที่มรณภาพจากการถูกคนร้ายยิงว่า
“เหลือแต่ความดี .. ประดับไว้ในโลกา
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงกับพระสงฆ์ ชาวพุทธ เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะมีความสะเทือนใจ และเจ็บปวดใจเป็นที่สุดในฐานะพุทธบุตร บุตรของพระพุทธเจ้าผู้ไม่คิดจะเบียดเบียนใคร ยิ่งเป็นเป็นพระที่รู้จักมักคุ้น เคารพศรัทธา รู้ว่าท่านยืนหยัดทำหน้าที่เพื่อใคร ยิ่งเจ็บปวดใจหาอะไรมาเปรียบมิได้
ถ้าสูงสุดของการทำความดี เพื่อความดับทุกข์ที่อยู่ในใจตนเอง และเพื่อนมนุษยชาติ โดยไม่ได้เลือกชั้น วรรณะ ศาสนา อาจารย์พระครูประโชติฯ คือหนึ่งในผู้ทำความดีเพื่อสิ่งนั้น
ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ท่านจะเกิดความอุ่นใจ เยือกเย็น ท่านมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร แม้จะรู้จักท่านไม่กี่ปี แต่ท่านก็เหมือนพี่ เหมือนครูอาจารย์ ท่านเป็นคนตัวเล็ก แต่มีหัวใจเด็ดเดี่ยว เด็ดเดี่ยวในความดี รักความยุติธรรม ท่านทำงานนึกถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตนเอง เสียสละยืนหยัดทำหน้าที่ทั้งๆที่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง
ไม่รู้อะไรที่หล่อหลอมให้ท่านเป็นท่านอย่างที่เป็น ไม่รู้จะหาพระอย่างท่านได้ที่ไหน ไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่ที่จะสร้างพระอย่างท่านได้ พระผู้เสียสละ พระนักพัฒนา พระผู้เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้าน ให้กับชุมชน พระอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า พระครูประโชติฯเล่าให้ฟังว่า ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา ท่านคงเป็นคนไม่มีศาสนา
ผู้เขียนเคยได้พูดคุยกับท่านถึงกำลังใจ แรงบันดาลใจในการทำงานยืนหยัดเพื่อชาวบ้าน เพื่อชุมชน ท่านได้เล่าให้ฟังว่า มีแรงบันดาลใจในการทำหน้าที่ เมื่อครั้งหนึ่งคณะพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มากราบเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้ดำริให้จัดตั้งพระธรรมทูตอาสาขึ้น แล้วเจ้าประคุณฯ ก็ได้ให้โอวาท มีความตอนหนึ่งว่า
“เราตายได้ พระพุทธศาสนาตายไม่ได้ หากไม่มีพระสงฆ์ในพื้นที่ชาวพุทธก็หมดที่พึ่ง แม้วันใดวันหนึ่งข้างหน้า พระพุทธศาสนา ชาวพุทธจะอยู่ไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้พระสงฆ์เดินออกจากพื้นที่เป็นคนสุดท้าย”
ทำให้ในปัจจุบันนี้หลายรูปได้ทำลายกำแพงแห่งความกลัวไป เหลือไว้แต่หัวใจที่เสียสละด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ตามปณิธานของเจ้าประคุณสมเด็จฯ
การทำหน้าที่รักษาลมหายใจของพระพุทธศาสนาในพื้นที่ของสีแดงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต เลือดเนื้อ ลมหายใจท่านก็ยอม สมกับปณิธานที่ท่านพูดไว้
“ไม่ตายไม่ขอเลิกทำความดี”
“ผมไม่หนี ผมถือว่าตรงนั้นเป็นแผ่นดินไทย ปูย่าตายายผมเป็นคนพุทธ เกิดตรงนี้ ขอตายตรงนี้”
(ขอบคุณ หลวงอิฐ ที่นำมาถ่ายทอดไว้)
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแค่ชาวบ้านโคกโกเท่านั้นที่ใจสลาย พระสงฆ์ ชาวพุทธทั่วประเทศ ทั่วโลก ก็เกิดใจสลายสะเทือนใจ เจ็บปวดใจอย่างเป็นที่สุด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป การที่เราปล่อยวางภาระหน้าที่ต่อพระศาสนาที่เราอาศัยอยู่ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีเราอาจจะคิดว่า เราเป็นผู้โชคดีที่สุด แต่ถ้าพลันนึกถึงวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเป็นคนที่เสียดายที่สุด เสียดายที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาได้อาศัยร่มเงาพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งของชีวิต แต่ไม่ได้ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนาเลย เหมือนเราได้อาศัยแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ไม่เคยตอบแทนพระคุณท่านเลย
ขอผลบุญที่ได้ร่วมทำจงสำเร็จเป็นวิบากผล อำนวยทิพยสุข ทิพยสมบัติส่งถึง อาจารย์พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ และพระสมุห์อรรถพร ในสุคติสัมปรายภพ ตราบถึงพระนิพนานด้วยเทอญ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ “พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท” ก้ได้เขียนแสดงความอาลัยต่ออาจารย์พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (พ่อท่านหว่าง)ไว้ ว่า
กราบถวายความอาลัย
ด้วยความใจหาย และสะเทือนใจเป็นที่สุด
อาจารย์พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (พ่อท่านหว่าง)
เจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ, เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี
ประธานเครือข่ายพระธรรมทูตอาสาจังหวัดนราธิวาส
ทราบข่าวการมรณะภาพของท่าน กับพระลูกวัด เมื่อราว ๒๑.๐๐ น. ของวันที่ ๑๘ มกราคม ๖๒ ยอมรับว่าใจหาย สะเทือนใจ และเจ็บปวดเป็นที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เรื่องราว คำพูดของท่านก้องอยู่ในหูตลอดเวลา เปิดดูข่าวก็น้ำตาไหลนึกถึงท่าน
“ท่านมหาตอนเด็กๆบ้านผมอยู่แถวนี้แหละ แม่น้ำสายนี้แหละผมกระโดดเล่นทุกวัน (แม่น้ำที่กั้นระหว่างเขตแดนไทยมาเลเซีย ด่านสุไหงโก-ลก) แถวนี้เป็นแหล่งทำมาหากินของผม
ผมเกิดที่นี่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายผมเป็นคนที่นี่นราธิวาส ผมเรียนที่นี่ รุ่นผมมีชาวพุทธสองคน ทุกคนเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะศาสนาไหน ผมภูมิใจที่สุด ครั้งหนึ่งได้ไปเลี้ยงอาหารรุ่นน้องที่โรงเรียน ไปเยี่ยมครูสอน ไปเยี่ยมผู้อำนวยการ เป็นความสุขที่หาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เพราะนี่ คือบ้านเกิดของผม บ้านที่ผมรัก
ชีวิตผมเกิดมาชาติหนึ่ง ได้สร้างวัดด้วยตนเองถวายเป็นพุทธบูชา ผมมาอยู่ที่นี่ (บ้านโคกโก) ตั้งแต่ยังไม่มีอะไร ผมเริ่มสร้างศาลาหลังแรกคือ ศาลาการเปรียญ (ศาลาโรงธรรม) ใช้ชื่อว่า ธรรมานุภาพ แล้วก็สร้างศาลาโรงฉัน ใช้ชื่อว่า สังฆานุภาพ สิ่งที่ผมจะสร้างเป็นสิ่งสุดท้าย คือ พระอุโบสถ เป็น “พุทธานุภาพ” รวมทั้งหมดเข้าด้วยจึงเป็น วัดรัตนานุภาพ
แต่ก็น่าเสียดาย ท่านกำหนดงานปิดทองฝังลูกนิมิตในเดือน พฤษภาคม ศกนี้ ตอนที่ท่านเดินทางมาดูลูกนิมิตรลูกเล็ก (๑,๒๕๐ ลูก) และพระประธานชั้นล่างของพระอุโบสถ (ที่พระครูสิริฯเป็นเจ้าภาพ) ที่จังหวัดนครราชสีมา ก็ได้ร่วมเดินทางไปด้วย ท่านบอกว่า “ท่านมหา ผมไม่ได้หยิ่งนะ จะร่วมบุญลูกนิมิตรต้องลงไปทำเองที่วัดรัตนานุภาพนะ แล้วท่านก็หัวเราะ”
ท่านเล่าให้ฟังว่า ในชีวิต ผมไม่อยากได้ยินคำว่า มีวัดร้างในพื้นที่ที่ผมอยู่ เคยมีช่วงหนึ่ง มีวัดหนึ่งชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง อยากทำบุญ อยากฟังธรรม แต่ไม่มีพระ ผมคุยกับชาวบ้านโคกโกว่า วันพระ ช่วงเช้าจะไปที่โน้นให้ชาวบ้านได้ทำบุญ ต้องเดินเท้าไปแต่ช่วงเย็นของอีกวัน ไปถึงก็ดึก ตื่นเช้ามาชาวบ้านทำบุญเสร็จ ก็ต้องรีบเดินทางกลับมาให้ทันเพลที่วัดโคกโก เพราะชาวบ้านรออยู่
ท่านมหาลองนึกภาพดู มีวัดแต่ไม่มีพระอยู่ เจ็บปวดใจนะ คนเฒ่าคนแก่มาวัด เห็นจีวรตากหน้าศาลาก็ยังอุ่นใจ ถ้าไม่มีพระสงฆ์ทำหน้าที่ นั่นหมายถึงลมหายใจของพระพุทธศาสนาหมดไปแล้ว
ท่านพูดย้ำให้ฟังตลอดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่รักสูงสุดของผม ลมหายใจที่มีอยู่ขอถวายเป็นพุทธบูชา และขอทำความดีเพื่อพระพุทธศาสนาจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
ครั้งหนึ่งที่ท่านเดินทางขึ้นมาร่วมงานที่ดอยสูง อาศรมบ้านดอกแดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ท่านบอกว่า “อยู่ที่นี่ลำบาก (การเดินทางลำบาก) แต่ไม่เสี่ยง อยู่ที่ภาคใต้เสี่ยง แต่ไม่ลำบาก (ไม่ลำบากในการเดินทาง)”
ท่านพูดให้ฟังเสมอว่า ผมรู้ว่าทำหน้าที่ตรงนี้เสี่ยง สักวันต้องเป็นอย่างนี้ แต่มันคือบ้านผม บ้านที่ผมรัก
ต้องยอมรับว่า หัวใจของท่านเด็ดเดี่ยว หาสิ่งใดเปรียบได้ ขอสดุดีท่านด้วยหัวใจ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๖๑ คือวันที่ได้คุยกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านบอกว่า ทุกรูปมีกำลังใจเข้มแข็งดี
#เราสูญเสียพระผู้มีหัวใจเด็ดเดี่ยว
#พระนักพัฒนา #ผู้นำจิตวิญญาณ
#พระผู้นั่งอยู่ในหัวใจของชาวโคกโก #ชาวสุไหงปาดี
ขอผลบุญส่งให้ให้พระอาจารย์ไปสู่สุคติในสัมปรายภพ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#ขอประนามการก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้