เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ (ศปจร.ภ.5) ตำรวจภูธรภาค 5 นำโดย พล.ต.ต.จำนงค์ รัตนกุล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมแถลงข่าวผลการตรวจยึดรถยนต์ที่ผิดกฎหมายจำนวน 14 คัน
พล.ต.ต.จำนงค์เปิดเผยว่า รถยนต์ของกลางทั้งหมด 14 คัน รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ รถยนต์ที่สวมทะเบียนรถที่เกิดอุบัติเหตุชำรุดเสียหายอยู่ในสภาพไม่สามารถนำมาซ่อมแซมใช้งานได้ปกติ หรือซ่อมแล้วไม่คุ้มค่าซ่อม นำไปสวมทะเบียนรถยนต์ที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย มี 7 คัน กลุ่มที่ 2 รถยนต์ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการเสียภาษีศุลกากร 5 คัน และกลุ่ม 3 รถยนต์ที่นำทะเบียนรถคันอื่นมาสวมกับรถของตนแล้วนำมาใช้งาน 2 คัน
“รถยนต์ผิดกฏหมายส่วนใหญ่ กว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มสวมทะเบียน สวมซาก จากรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุของบริษัทประกัน ร้อยละ 15 สวมทะเบียนจากซากรถที่ชำแหละ ร้อยละ 15 เป็นรถยนต์ที่ปลอมทะเบียนวิ่งในทาง และร้อยละ 20 ปลอมทะเบียนรถยนต์ที่ส่งออกต่างประเทศ โดยรถยนต์สองกลุ่มหลังนี้จะทำเป็นรถใหม่นำมาวิ่งในทาง” พล.ต.ต.จำนงค์กล่าว
พล.ต.ต.จำนงค์ระบุว่า ปัจจุบันรถยนต์ที่ปลอมหรือสวมทะเบียนและนำมาวิ่งในทาง เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับความเร็วมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นรถที่ผิดกฏหมาย รถยนต์กลุ่มนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนสอบสวนและติดตามตรวจสอบข้อมูลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ใช้รถกลุ่มนี้ ขณะที่วิธีการของกลุ่มมิจฉาชีพที่ได้รถยนต์ผิดกฎหมายมา จะนำไปดัดแปลงเลขตัวถังรถยนต์เพื่อให้ตรงกับตัวถังหรือเลขทะเบียนของซากรถยนต์ที่ซื้อมาจากบริษัทประกัน หรือรถยนต์ที่ชำแหละ ก่อนนำไปจดทะเบียนกับขนส่ง หากไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะไม่ทราบว่า เป็นรถยนต์ที่สวมทะเบียนมา
“ขอฝากเตือนประชาชนที่จะซื้อรถยนต์มือสองมาใช้งาน ขอให้ตรวจสอบประวัติรถอย่างละเอียด ทั้งการตรวจสอบคู่มือรถว่ามีการออกเล่มใหม่แทนเล่มเดิมที่สูญหายหรือชำรุดหรือไม่ ตรวจดูว่าเป็นรถที่ประมูลมาจากบริษัทประกันภัยหรือไม่ และผู้ขายต้องเป็นผู้ที่เรารู้จัก หรือสามารถติดตามได้กรณีเกิดปัญหา และไม่ควรนำป้ายทะเบียนรถคันอื่นมาติดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับความเร็วของเจ้าหน้าที่” พล.ต.ต.จำนงค์กล่าว
