ทึ่ง! เส้นทางชีวิต ‘นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร’ จากเด็กกรีดยางสู่นักธุรกิจพันล้าน

“นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิงค์ จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา และต้องฝ่าฟันต่อสู้อุปสรรคมากมายจนประสบความสำเร็จในวันนี้

นายนพกฤษฏิ์กล่าวว่า ได้เติบโตมาจากเด็กสวนยาง ‘เบตง’ ชายแดนภาคใต้ แม่เสียชีวิตตั้งแต่ที่ยังเด็ก จึงต้องช่วยพ่อทำงานด้วยการกรีดยางตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.4 หรืออายุประมาณ 10 ขวบ ยางเมื่อสมัยยังเด็ก เป็นยางบ้านต้นใหญ่ ต้องใช้เวลากรีดนาน ตนกับพ่อ และพี่ชายต้องออกไปกรีดยางตั้งแต่ 5 ทุ่ม กรีดเสร็จตอน 6 โมงเช้า กลับมาถึงบ้าน 7 โมงเช้า บ้านกับโรงเรียนห่างกัน 11 กิโล ขับมอเตอร์ไซค์ไป ก็ต้องสปีดเต็มที่ อาบน้ำ กินข้าว ขี่มอเตอร์ไซค์ไปประมาณ 40 นาที เพื่อเข้าแถว 8 โมง ส่วนใหญ่ก็ไปไม่ทัน โดนทำโทษหน้าเสาธง ในข้อหาที่เราไม่ตรงต่อเวลา ชีวิตในวัยเด็กก็เป็นอย่างนี้มาตลอด จนจบ ม.ศ.3 ประมาณ 7 ปี

นพกฤษฏิ์กล่าวอีกว่า จากเด็กต่างจังหวัดเข้าไปอยู่หาดใหญ่ ช่วงนั้นผมเตลิดเปิดเปิง ไม่ค่อยได้สนใจเรียน ผ่านไป 2 ปีเกรดไม่ถึง 2 อยู่ที่ 1.66 มีโอกาสโดนรีไทร์ จึงชิงลาออกก่อน เพื่อรักษาหน้าตา ช่วงที่ลาออกพี่ชายกรีดยางอยู่ ชวนกลับไปกรีดยาง แต่ผมตัดสินใจเดินหน้า แต่ไม่มีใครส่ง ต้องทำงานหาเงินเรียนเองจึงเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะไม่ต้องใช้เวลาเรียนมาก และไปสมัครงานเป็นบัสบอย ซึ่งถือเป็นตำแหน่งล่างสุด ยกอาหารจากครัวมาให้เด็กเสิร์ฟ ทำงานตั้งแต่ 4 โมงเย็น จนถึง 5 ทุ่ม ได้เงินวันละ 30  บาท เดือนละ 900 บาท วันไหนไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน

 

Advertisement

 

จุดพลิกผันของชีวิต

นายนพกฤษฏิ์ เล่าจุดเปลี่ยนชีวิตว่า การเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิต จากความเจ็บปวดในชีวิตของการเป็นบ๋อยร้านอาหาร เป็นพลังผลักดันให้เปลี่ยนมุมมองชีวิตและวิธีคิดใหม่ ให้ตัวเองพ้นจากจุดต่ำสุดของชีวิตช่วงที่ทำงานก็รู้สึกท้อๆ จากชีวิตที่มีคนส่งให้เรียน ต้องมาทำงานส่งเสียตัวเองเรียน ต้องมาเอาใจคนที่มารับประทานอาหาร ซึ่งมีทุกวัยรวมทั้งคนที่มีอายุต่ำกว่าด้วย นึกน้อยใจในโชคชะตา แต่เมื่อได้สติก็คิดได้ว่า เพราะเราทำตัวเราเอง บอกตัวเองว่า ไม่ไหวแล้ว ต้องทำอะไรซักอย่าง เพื่อให้ตัวเองมีสปีด เพื่อเปลี่ยนชีวิต ซึ่งต้องใช้พลังที่สูงขึ้น แต่ไม่มีเพื่อนที่มีพลังสูง ญาติพี่น้องที่มีฐานะดีเราก็ไม่กล้าคบ เพราะเราจะนำมาเปรียบเทียบ และทำให้เราเจ็บปวด ไม่มีพลังที่จะไปจัดการชีวิตจุดเปลี่ยนอยู่ที่รุ่นพี่คนหนึ่ง มารับประทานอาหารกับแม่ แล้วแม่เขาก็ให้ทิปมา 300 บาท ตอนแรกตั้งใจจะไม่รับ เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่สุดท้ายก็รับเพราะเป็นเงิน 1 ใน 3 ของเงินเดือน พอรับมาก็คิดว่า เราจะอยู่กับความสงสารของคนอื่นไม่ได้แล้ว

Advertisement

ก้าวสู่อาชีพในฝัน

นายนพกฤษฏิ์ ให้เหตุผลว่า ตัดสินใจสอบเข้าทำงานธนาคารอาชีพในฝันเวลานั้น และเพื่อจะได้ก้าวในตำแหน่งหน้าที่เร็ว จึงสอบชิงทุนของธนาคาร ติด 1 ใน 10 เข้าเรียนปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ความมั่นใจจึงเพิ่มมากขึ้นอีก ก็ตั้งใจทำงานแบบมืออาชีพ ถูกประเมินการทำงานเป็นเกรดเอมาตลอด แต่ความก้าวหน้ามีจำกัด อยากเป็นผู้จัดการแต่ธนาคารให้ไม่ได้ ตอนนั้นไฟแนนซ์กำลังรุ่งมาก มีคนโทรมาชวนตลอด จึงตัดสินใจออกจากธนาคารโดยที่ยังชดเชยทุนไม่หมด ต้องจ่ายเงินคืนธนาคาร 300,000 บาท ไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อของไฟแนนซ์แห่งหนึ่ง และถูกปิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ จึงตัดสินใจหาสนามใหม่ เป็นวิทยากร จากที่ทำเป็นอาชีพรองมาเป็นอาชีพหลัก ทำอยู่เอวอน ภายใน 1 ปี ยอดขายเพิ่มขึ้นในระดับที่ผู้บริหารพอใจ จึงให้ตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายดูแลพื้นที่ภาคอีสาน และทำการบ้านหนักมาก ซึ่งภายในปีแรก ก็ได้แชมป์ยอดขายสูงสุด 2 ปีติดต่อกัน ครั้งแรกของบริษัท เนื่องจากมองทะลุในงานขายและวางกลยุทธ์การขายเป็น เป็นโค้ชให้ทีมงานภาคสนาม เน้นการสื่อสารให้กำลังใจทีมงาน ผลตอบรับจึงออกมาดี ชนะแบบม้วนเดียวจบ

“ผมมาถึงจุดที่มีความพร้อมทุกอย่าง มีความอดทนจากการเป็นบ๋อย วิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างดีจากการอยู่ฝ่ายสินเชื่อ และมาสู่การขายและการตลาด รู้จุดอ่อนจุดแข็งของงานขายเป็นอย่างดี รู้ชีวิตนักขาย รู้เรื่องระบบทำทีม มีประสบการณ์การบริหารองค์กร จึงตัดสินใจร่วมกับเพื่อนรักที่เป็นหมอเปิดบริษัทขายตรง ชื่อ ซัคเซสมอร์ เมื่อ 6 ปีก่อน’ ‘นพกฤษฏิ์’ กล่าวถึงการตัดสินใจเปิดบริษัทขายตรงของตัวเอง”

จุดเปลี่ยนชีวิต

นายนพกฤษฏิ์กล่าวว่า จุดเปลี่ยนของชีวิตมาจากการสะสมความเจ็บปวด จากความยากลำบากในอดีต มองว่า ชีวิตนี้เป็นเวทีของคนสำเร็จเท่านั้น ไม่มีเวทีให้คนพ่ายแพ้ยืน จึงกระตุ้นตัวเองว่า ต้องไปให้สุดทาง แม้ตอนเป็นผู้บริหารองค์กรจะมีรายได้เดือนละ 200,000 บาท แต่ยังไม่มีความภาคภูมิใจ และต้องการใช้ศักยภาพให้สุดทาง การบริหารองค์กรของคนอื่น ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สุดท้ายก็จะมีปัญหาติดขัด จัดการอะไรได้ไม่เต็มที่ อาจจะมีความคิดคนอื่นมาครอบ ไม่สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจของตัวเองทั้งหมด เพื่อขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตอย่างเต็มที่

ความพอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้

นายนพกฤษฏิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ แต่ CEO บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) ยังพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง เพื่อสร้างพลังงานถ่ายทอดไปยังบุคคลอื่น โดยกำหนดตารางชีวิตที่ชัดเจนในแต่ละวัน เหมือนนักกีฬาที่เตรียมตัวลงสนาม ตั้งแต่การออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่เหมาะสม รวมทั้งการอ่านหนังสือวันละ 3 ชั่วโมงในตอนก่อนนอนและตอนเช้า เพื่อเพิ่มศักยภาพตัวเองทุกวัน สามารถเป็นวิทยากรบนเวที ได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น โดยพลังยังไม่หมด และมีกลยุทธ์การสร้างการดึงดูดใจที่ยอดเยี่ยม

“ผมมีความพึงพอใจกับฐานะรายได้ในตอนนี้ แต่สิ่งที่ต้องการคือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง โดยการนำความรู้ไปช่วยเหลือคน เพื่อยกระดับชีวิตคนให้ดีขึ้น ยังมีแรงบันดาลใจ ที่ไม่ใช่เรื่องเงินแต่ต้องการสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับโลกใบนี้ รวมทั้งการทำให้เข้าใจการดำเนินชีวิต โดยจะเป็นวิทยากรพูดให้ฟรี และต้องการสร้างสถาบันพัฒนาผู้นำให้กับประเทศไทย เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพให้กับชาติ เพราะประเทศจะเจริญได้จะต้องมีคนที่มีแนวคิดที่ถูกต้อง มีภาวะผู้นำที่สูง ซึ่งผมจะสร้างสิ่งนี้เพื่อร่วมพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image