เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นายอุดร โพธิ์พ่วง ผู้ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการติดตามโครงการขนาดใหญ่ใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ประชาชนไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างท่าเรือร่องน้ำคลองวาฬเดิม หลังกรมเจ้าท่าใช้งบ 429 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2551 ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรใดเข้าไปบริหารจัดการ ทำให้สภาพทั่วไปทรุดโทรมโดยเฉพาะอาคารท่าเทียบเรือ ระบบบำบัดน้ำเสียไม่สามารถใช้การได้ นอกจากนั้น บริเวณชายหาดยังมีปัญหาน้ำเน่าเสีย ชายฝั่งถูกกัดเซาะ เรือประมงขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าเทียบท่าได้ในบางฤดูกาลเนื่องจากร่องน้ำตื้นเขิน
“ต่อมาได้รับการชี้แจงจากนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า กรมเจ้าท่าได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ แต่กรมธนารักษ์ยังไม่ได้รับมอบ เนื่องจากยังไม่สามารถหาผู้บริหารได้ ขณะที่เดิมเทศบาลตำบลคลองวาฬมีความประสงค์จะเข้าบริหาร แต่มีปัญหาจากอัตราค่าเช่าค่อนข้างสูง จากนั้นมีการประชุมร่วมระหว่างหลายหน่วยงาน เพื่อหาอัตราค่าเช่าที่เหมาะสม ผลสรุปเห็นควรให้ตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำกรอบอัตราค่าเช่า ค่าธรรมเนียมฯ ขณะที่ก่อนหน้านี้มีบริษัทเอกชนสนใจที่จะใช้พื้นที่เดินเรือข้ามอ่าวไทย แต่ติดปัญหารอการประมูลการบริหารท่าเรือ” นายอุดร กล่าว
นายอุดร กล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในโครงการนี้ เดิมมีการสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง เพื่อลดปัญหากัดเซาะ ต่อมากรมเจ้าท่าได้ดำเนินการติดตามแก้ไขโดยนำทรายที่ได้จากการขุดลอกไปเติมเพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนกรณีร่องน้ำตื้นเขิน เดิมท่าเรือออกแบบไว้มีน้ำลึกเพียงพอ แต่พบมีการตกตะกอนทรายรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการขุดลอก และด้วยงบประมาณที่จำกัด การขุดในปัจจุบันน้อยกว่าปริมาณการตกตะกอน จึงต้องของบเพื่อขุดเปิดร่องใหม่ ให้มีร่องน้ำลึกตามมาตรฐาน
“สำหรับแผนพัฒนาการให้บริการท่าเรือคลองวาฬ ให้สามารถรองรับเรือได้มากกว่า 500 ตันกรอส ช่วงแรกผู้บริหารท่าเรือต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในกิจกรรมประมง หากในอนาคตผู้ประกอบการจะพัฒนาท่าเรือ ให้รองรับเรือมากกว่า 500 ตันกรอส สามารถดำเนินการควบคู่กับการบริหารท่าเรือในระยะแรกได้ แต่ต้องทำตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง” นายอุดร กล่าว
