เพชรบูรณ์ชงปลดล็อคโรงแรม1,000แห่ง รุกป่า-ที่สาธารณะสปก.

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์(คทช.จังหวัด) โดยมีนายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นประธาน ซึ่งมีวาระการพิจารณาในเรื่องการรวบรวมข้อเท็จจริง สภาพปัญหาและแนวทางแก้ไข การประกอบธุรกิจโรงแรมหรือธุรกิจสถานที่พักตามกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ.2551 ที่ไม่สามารถดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) ตามคำสั่ง คสช.ที่ 6/2562

ซึ่งในที่ประชุมทางฝ่ายปกครองจังหวัดได้รายงานถึงข้อมูลโรงแรมทั้งจังหวัดที่ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้และมายื่นจดแจ้งให้ข้อมูลต่อองค์กรปกครองท้องถิ่นกว่า 1,040 แห่ง รวมทั้งมีโรงแรมที่จดแจ้งไม่เป็นโรงแรมมีไม่เกิน 4 ห้องพักได้ไม่เกิน 20 คนจำนวน 444 แห่ง ซึ่งรอการตรวจสอบเป็นไปตามที่ขอจดแจ้งหรือไม่ ส่วนโรงแรมที่ยังไม่มาจดแจ้งราว 240 ราย มีอ.เขาค้อ 206 ราย อ.เมือง 5 ราย อ.หล่มสัก 7 ราย อ.น้ำหนาว 18 ราย อ.หนองไผ่ 6 อ.บึงสามพัน 2 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบและเริ่มทำตามกฎหมายเป็นบางส่วนแล้ว โดยพื้นที่อ.เขาค้อไปตรวจสอบแล้ว 15 ราย พบว่าฝ่าฝืนจึงแจ้งความดำเนินคดีไป 5 ราย ส่วนอีก 10 รายปิดกิจการและอยู่ระหว่างขออนุญาต

ทั้งนี้ในที่ประชุมยังรายงานด้วยว่า เดิมเขาค้อเป็นพื้นที่ความมั่นคงซึ่งทหารขอใช้ประโยชน์และจัดสรรที่ดินให้แก่ รอส. ปัจจุบันมีการส่งมอบคืนให้กรมป่าไม้แล้ว ทั้งนี้มีการจำแนก รอส.ออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้แก่ กลุ่มรอส.เดิมที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจากทหาร, กลุ่มทายาท รอส., กลุ่มที่ซื้อขายสิทธิ์จาก รอส.เดิม, กลุ่มครอบครองอยู่เดิมแต่ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินจากทหาร และตกสำรวจการถือครองตามมติ ครม.วันที่ 26 มิถุนายน 2541 จึงแจ้งขอนำเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณานำเสนอไปยัง คทช. ให้มีมติประกอบธุรกิจโรงแรมได้ โดยใช้อำนาจตามมาตรา 16 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติหรือแนวทางอื่นตามที่เห็นสมควร

Advertisement

นายเวทิน พุ่มอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด(ทสจ.)เพชรบูรณ์ กล่าวเสริมว่า การแจ้งการครอบครองตามคำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 หากดำเนินการบังคับใช้กฎหมายก็คงจะยุ่งยากและขึ้นศาลกันสนุกสนาน เนื่องจากการไปรื้อถอนและการไปจับกุมไม่เกิดผลดี จริงๆแล้วรัฐบาลให้ความสำค้ญจึงเป็นที่มาของคำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 แนวทางจะต้องให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ได้ใช้สิทธิและเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยหรือก่อสร้างดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จากการตรวจสอบแล้วเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้กฎหมายป่าสงวนฯ

นายเวทินกล่าวว่า จึงเห็นสมควรเสนอต่อ คทช.เพื่อให้ครม.เห็นชอบ โดยให้กรมป่าไม้อนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทอยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้และได้มาจดแจ้งคำสั่งที่ 6/2562 และมายื่นคำขอเพื่อขอใช้ทำประโยชน์ ให้กรมป่าไม้สามารถพิจารณาให้ได้ซึ่งกรณีทั่วไปการเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าก่อนได้รับอนุญาตต้องถูกจับกุมดำเนินคดีและบังคับคดีเรียบร้อยถึงจะสามารถยื่นได้ แต่ตอนนี้ถ้าจับกุมดำเนินคดีก่อนก็คือการรื้อ ซึ่งคงไม่จำเป็นใช้เหตุผลถึงครม.แต่อย่างใด เพราะจับเรียบร้อยรื้อเสร็จแล้วมาขออนุญาตสร้างใหม่ ไม่สมเหตุสมผลกับเกิดความสูญเสียทั้งทางเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งผลกระทบต่อประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม

Advertisement

อย่างไรก็ตามในที่ประชุมมีมติเห็นควรนำเสนอ คทช. พิจารณาเสนอต่อ ครม.ให้ความเห็นชอบให้กรมป่าไม้ สามารถพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงแรมหรือรีสอร์ทที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้ ที่ได้มาจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม คำสั่ง คสช.ที่ 6/2562 วันที่ 12 มิถุนายน 2561 และมายื่นขออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าไม้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยดำเนินการทำนองเดียวกับราษฎรที่ได้รับการแก้ไขเรื่องที่อยู่อาศัยและทำกินตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเห็นควรให้ใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศในปีทีใกล้เคียง.ในการตรวจสอบและพิสูจน์สิทธิการถือครองที่ดินเช่นเดียวกับราษฏร ในการนี้กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎกระทรวง ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2559

สำหรับจำนวนโรงแรมที่มาจดแจ้งในเบื้องต้นและเห็นควรนำเสนอต่อ คทช.ได้แก่ อ.เขาค้อ 457 แห่ง, อ.หล่มเก่า 150 แห่ง, อ.หล่มสัก 5 แห่ง, อ.น้ำหนาว 18 แห่ง, อ.วังโป่ง 2 แห่ง, อ.ชนแดน 2 แห่ง, อ.บึงสามพัน 6 แห่ง, อ.เมือง 30 แห่ง โดยนายสืบศักดิ์ได้กำชับให้ทุกอำเภอตรวจสอบว่าโรงแรมดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ชนิดใดภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ หลังมีการรายงานว่าโรงแรมรีสอร์ทเหล่านี้อยู่ในเขตพื้นที่ป่า, ที่ดินสาธารณะประโยชน์, เขตห้ามล่าฯ, สปก. โดยให้แยกประเภทให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังเห็นควรให้ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานต่างๆ เพื่อทราบและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ประธาน คทช.ผ่านเลขานุการ คทช., อธิบดีกรมป่าไม้, อธิบดีกรมปกครอง, อธิบดีอัยการภาค 6, ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6

นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นควรให้ดำเนินการในส่วนกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดแจ้ง โดยให้ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.และกฎหมาย ให้อำเภอดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายโดยด่วน และในกรณีที่ตรวจสอบแล้วไม่พบผู้ประกอบการหรือเจ้าของ ให้ทำการตรวจยึดจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ กฎหมายว่าด้วยป่าไม้, กฎหมายโรงแรม, กฎหมายควบคุมอาคารโดยเคร่งครัดทุกราย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image