เมื่อวันที่ 28 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านพักของนายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ถนนอดุลยทาน เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ หัวหน้ากลุ่มมหานคร นครพนม ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ได้พานายปริญญา ประชากุล อาชีพทนายความ พร้อมราษฎร ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม หมู่ที่ 1, 4, 5, 6 และหมู่ 10 ที่ได้รับความเสียหายบริเวณที่ดินรอบหนองญาติที่ถูกกรมธนารักษ์เขตพื้นที่จังหวัดนครพนมดำเนินการรังวัดแนวเขตอ่างเก็บน้ำชลประทานตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด โดยรังวัดรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินอันเป็นที่นาของราษฎร กินเนื้อที่ประมาณกว่า 200 ไร่เศษ ทำให้ราษฎรได้รับความเสียหาย และเดือดร้อนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นายปริญญาเปิดเผยว่า ผู้เดือดร้อนรวมทั้งตนได้รับที่ดินมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำประโยชน์ด้วยการทำนาปลูกข้าวมาตั้งแต่ปี 2440-2560 รวมเป็นระยะเวลา 100 กว่าปี โดยชาวบ้านในละแวกต่างรู้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของที่ บวกกับในขณะนั้นอ่างเก็บน้ำหนองญาติยังเป็นหนองน้ำสาธารณะ (เพิ่งมาขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2494 และมีการรังวัดขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ในปี พ.ศ.2515 รวมเนื้อที่ 3,286 ไร่) ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2497 มีประกาศใช้ประมวลที่ดินขึ้น ให้ชาวบ้านที่มีสิทธิครอบครองที่ดินมาก่อน ยื่นคำขอแจ้งการครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ภายใน 180 วัน ก็มีการแจ้งสิทธิการครอบครองตามประกาศทางราชการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ประมาณ พ.ศ.2549 มีการฟ้องร้องกันเกี่ยวกับกรณีพิพาทเนื้อที่ของอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ในศาลปกครอง เขต 4 จังหวัดขอนแก่น ว่าอ่างเก็บน้ำหนองญาติมีเนื้อที่ทั้งหมดเท่าไหร่ และกินเนื้อที่ล้ำเข้าไปในที่นาของราษฎรบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ กระทั่งวันที่ 26 มีนาคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้อ่างเก็บน้ำชลประทานหนองญาติมีเนื้อที่ทั้งหมด 3,284 ไร่ 1 งาน
นายปริญญากล่าว่า ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2560 มีเจ้าหน้าที่ชลประทาน เขต 7 จังหวัดอุบลฯ เจ้าพนักงานรังวัดที่ดินจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่สำนักงานธนารักษ์เขตพื้นที่จังหวัดนครพนม ได้ร่วมกันรังวัดโดยอ้างว่าเป็นแนวเขตที่ดินของอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ตามคำสั่งศาลปกครอง ลงวันที่ 26 มีนาคม 2557 เนื้อที่ 3,284 ไร่ แต่เป็นการเข้าไปรังวัดตามอำเภอใจ กินเนื้อที่เกินคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดไปจำนวน 202 ไร่ โดยรุกล้ำเข้าไปในเขตที่นาของชาวบ้าน พร้อมปักหมุดเป็นเสาคอนกรีต ทำให้ราษฎรผู้ร้องได้รับความเสียหาย จึงร่วมกันยื่นคำร้องคัดค้านไว้ต่อเจ้าหน้าที่ธนารักษ์พื้นที่จังหวัดนครพนม
นายปริญญากล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำหนองญาติอยู่ห่างจากหัวไร่ปลายนาของราษฎรผู้ร้อง ประมาณ 500-600 เมตร สามารถพิสูจน์ได้ในที่ดินพิพาททั้งหมด แต่ธนารักษ์ฯนครพนมกลับกล่าวหาชาวบ้านผู้ร้องเป็นผู้บุกรุกล้ำที่ดินอ่างเก็บน้ำฯ ตนในฐานะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจึงต้องการให้พิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง เหตุผล และข้อกฎหมาย ตามที่กล่าวข้างต้น ย่อมชี้ชัดได้ว่าที่ดินแปลงพิพาททั้งหมด เป็นที่ดินของบรรพบุรุษ เป็นผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ปี 2439-2440 ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินประกาศใช้ร่วม 50 ปี บวกกับขณะนั้นยังไม่มีการจดทะเบียนอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ขณะที่บรรพบุรุษของพวกตนได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ ด้วยการทำนาปลูกข้าวมาเกินกว่า 100 ปี อยู่ดีๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐมาขีดเส้นเขตอ่างเก็บน้ำในภายหลัง
“สิ่งที่พวกเราร้องขอความเป็นธรรมคือ มีคำสั่งให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญการรังวัดตรวจสอบที่ดินของกระทรวงยุติธรรมในส่วนกลางที่เป็นกลางจริงๆ มาดำเนินการรังวัดที่นาของราษฎร และรังวัดเนื้อที่อ่างเก็บน้ำ จำนวน 3,284 ไร่ 1 งาน ว่าการรังวัดของเจ้าหน้าที่รัฐครั้งก่อนกินเนื้อที่เกินคำพิพากษาไป 202 ไร่จริงหรือไม่” นายปริญญากล่าว
นอกจากนี้ นายปริญญายังได้เปิดเผยว่า มีอดีตผู้นำเจ้าหน้าที่รังวัดตรวจสอบที่ดิน ปี 2560 ให้ญาติพามาพบตนเพื่อในสภาพล้มป่วยเป็นอัมพาต โดยเผยสาเหตุที่ต้องให้ญาติพามาหา เพราะสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำลงไป จึงต้องการจะขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำหนองญาติ ตนจึงพาไปที่ศาลเจ้าที่ชาวเวียดนามเคารพนับถือ หากจะให้อดีตผู้นำคนนั้นมาพูดอาจจะได้ความกระจ่างเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ นพ.ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย จะนำเอกสารที่ราษฎรยื่นร้องขอความเป็นธรรม เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ฯลฯ ขณะที่ตนเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ก็จะยื่นต่อนายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการฯเพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
ด้านนนายณพจน์สกร ทรัพยสิทธิ์ หัวหนัากลุ่มมหานคร นครพนม ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ในฐานะเป็นนักกฎหมาย เปิดเผยว่า เหตุที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือราษฎร เพราะได้รับการร้องเรียน อยากให้ช่วยเหลือเรื่องนี้ เนื่องจากเรื่องราวผ่านมาแล้ว 2-3 ปี ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นกลุ่มผู้ร้องเรียนได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดนครพนมเพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และได้รับเรื่องไว้ พร้อมรับจะทำการตรวจสอบเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรต่อไป