‘เชียงใหม่’ อ่วม ‘ฝุ่น’ คลุมเมือง จุดความร้อนพุ่งสูงต่อเนื่อง เหตุไฟไหม้ป่าลุกลาม

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพอากาศในตัวเมือง จ.เชียงใหม่ มืดครึ้ม ท้องฟ้ามีสีหม่นมัวเพราะฝุ่นขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 สะสมหนาแน่นจนมองไม่เห็นพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร จากการตรวจสอบศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 จ.เชียงใหม่ รายงานว่า ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่พบค่า PM 2.5 สูงสุด 84 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ส่วนดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ PM 10 สูงสุด 132 มคก./ลบ.ม.ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน

โดยพบรายงานการเกิดไฟไหม้ป่าในหลายพื้นที่ อาทิ บริเวณบ้านแม่ปอน หมู่ 15 ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พื้นที่ป่าเต็งรัง เขตป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ไฟไหม้ลุกลามตั้งแต่เวลา 01.30 น. ล่าสุดเจ้าหน้าที่เข้าทำการดับไฟได้เรียบร้อย แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ พื้นที่เสียหาย 24 ไร่ ในขณะที่พื้นที่ป่า อ.แม่ออน เกิดเหตุเช้าวันเดียวกันนี้และยังลุกลามไม่สามารถดับได้ ส่วน อ.เชียงดาว ทางหลวงเชียงใหม่ประกาศให้รางวัลหากมีผู้พบเห็นคนจุดไฟเผป่าข้างทางในเขตทางหลวง หลังเกิดเหตุไฟไหม้ป่าริมถนนหลวงมากขึ้นในระยะนี้ ในขณะเดียวกันพื้นที่ อ.พร้าว อ.แม่แจ่ม และ อ.แม่อาย เจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงฉีดพ่นน้ำเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองสะสม

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 รายงานว่า วันนี้จุดความร้อน หรือ Hotspot พุ่งสูงขึ้นมากในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ รวม 186 จุด โดยสูงสุดที่ จ.เชียงใหม่ คือ 46 จุด จ.ตาก 40 จุด จ.ลำปาง 34 จุด และ จ.แม่ฮ่องสอน 32 จุด ทั้งหมดเกิดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ

Advertisement

พ.อ.กฤติ พันธะสา เลขานุการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ภาคเหนืองดการเผาป่า ในพื้นที่โล่งเพื่อลดปัญหาการเกิดไฟป่าและหมอกควัน สำหรับการเผาป่ามีอัตราโทษการเผาป่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าไม้  พ.ศ.2484 ตามมาตรา 54 ห้ามมิให้ผู้ใด ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือ เข้ายืดหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น เว้นแต่จะกระทำภายในเขตที่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรม และรัฐมนตรีได้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาหรือโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

สำหรับอัตราโทษ ตามมาตรา 72 ตรี ผู้ฝ่าผืนจะจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน 20 ไร่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 5 ปี และ ปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท

สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ตามมาตรา 14 ในขตป่าสงวนแห่งชาติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้างแผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ อัตราโทษ ตานมาตรา 31 ผู้ฝ่าฝืน จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ตามมาตรา 16 ภายในเขคอุทยานแห่งชาติ ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ยึดถือหรือครอบครองที่ดินรวมตลอดถึงก่อสร้าง แผ้วถางหรือ เผาป่าอัตราโทษ ตามมาตรา 24 ผู้ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่กิน 20,000 บาท หรือทั้งจำปรับ

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

 

 

ทั้งนี้ ล่าสุด ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ดำเนินคดีตั้งแต่ประกาศห้ามเผา ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 13.30 น. สามารถจับกุม 123 ราย แยกเป็น พ.ร.บ.สาธารณสุข 14 ราย พ.ร.บ.ป่าไม้ 59 ราย พ.ร.บ.จราจร 50 ราย เปรียบเทียบปรับ 26,800 บาท แยกเป็น พ.ร.บ.สาธารณสุข 11,600 บาท พ.ร.บ.จราจร 15,200 บาท ดำเนินคดี 64 ราย แยกเป็น พ.ร.บ.สาธารณสุข 5 ราย พ.ร.บ.ป่าไม้ 59 ราย (หมายเหตุ คดีอยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด/ไม่มีตัว 59 ราย)

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image