เชียงใหม่จุดความร้อนยังสูงติดอันดับโลก ผู้ว่าฯสั่งเพิ่ม ‘มอเตอร์ไซค์วิบาก’ ค้นหาพื้นที่เผาไหม้

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 มีนาคม นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ประชุมศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์และวางแผนการปฏิบัติงาน โดยเช้าวันนี้เกิดจุด Hotspot (รอบเช้า เวลา 02.06 น.) จำนวน 444 จุด ในพื้นที่ 20 อำเภอ 65 ตำบล พบมากที่สุดในอำเภอพร้าว 75 จุด (ลุกลามจุดเดิมที่ ต.แม่แวน 43 จุด) อำเภอสะเมิง 66 จุด (จุดเกิดใหม่ที่ ต.บ่อแก้ว 30 จุดและสะเมิงเหนือ 12 จุด ลุกลามจุดเดิม ต.ยั้งเมิน 19 จุด) และอำเภอเชียงดาว 55 จุด ลุกลามจุดเดิมที่ ต.เมืองคอง 25 จุดและ ต.เมืองนะ 15 จุด ตามลำดับ

ทั้งค่าประมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กยังสูงเกินค่ามาตรฐานเฉลี่ยทั้งเมือง 165 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะ อ.เมืองเชียงใหม่ 329 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงสุดที่ อ.พร้าว 418 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ดัชนีคุณภาพอากาศ จ.เชียงใหม่ มีมลพิษสูงที่สุดในโลก 236 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนและผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก

Advertisement

โดยนายเจริญฤทธิ์ สั่งการให้นำเครื่องบิน BT67 ของกองทัพอากาศ ขึ้นบินโปรยน้ำเพื่อลดความหนาแน่นของฝุ่นควัน บริเวณไนท์บาซาร์และถนนช้างคลาน เวลา 10.00 น. และ 13.00 น. และเครื่องบิน MI 17 ของกองทัพบก ปฏิบัติการเข้าดับในพื้นที่ อ.พร้าว ติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากบริเวณที่เกิดจุด hotspot เป็นหน้าผาสูงชัน ยากต่อการเข้าถึงของชุดปฏิบัติการดับไฟป่าภาคพื้นดิน โดยเน้นในพื้นที่ตำบลแม่แวนและตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว ซึ่งเกิดจุดความร้อนมากที่สุด

ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้ทุกหมู่บ้านจัดชุดลาดตระเวนประจำหมู่บ้านโดยสนธิกำลังร่วมกันทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ป่าไม้ อุทยาน ชรบ.ผู้ใหญ่บ้าน อปท. ผู้หาของป่า และอื่นๆ เพื่อเฝ้าระวังสำรวจทุกพื้นที่ ทั้งเขตป่าไม้ อุทยานฯ พื้นที่ผ่อนผันเพื่อการเกษตร และพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องบริหารจัดการเชื้อเพลิง ซึ่งชุดปฏิบัติการประจำหมู่บ้านทุกชุดจะส่งข้อมูลในพื้นที่ของตนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอและจังหวัด พร้อมจะเป็นหน่วยช่วยเหลือในการดำเนินการบริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยอาศัยกำลังพลและเครื่องมือต่างๆตามหลักวิชาการ เพื่อไม่ให้ลุกลามจนควบคุมไม่ได้ โดยจะมีการแบ่งโซนในการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ซึ่งจะดำเนินการภายหลังประกาศจังหวัดฯสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2563 แล้ว ซึ่งจะเป็นห้วงที่อากาศมีการยกตัวดีแล้วตามที่อุตุนิยมวิทยากำหนดไว้ต่อไป

“โดยขอในทุกพื้นที่ใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ และการเดินเท้า รวมทั้งเพิ่มการใช้มอเตอร์ไซด์วิบาก เข้าลาดตระเวนในพื้นที่ป่าอุทยานฯ นอกเหนือจากชมรมร่มบินเชียงใหม่ และทีมโดรนจิตอาสา ที่เข้ามาช่วยบินสำรวจจุดความร้อน และชี้พิกัดให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดับได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกันยังเป็นการป้องปราบและกดดันผู้ที่คิดจะเผาป่า หากพบผู้กระทำผิดจะถ่ายไว้ แล้วนำมาส่งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”

อย่างไรก็ตามได้ประสานขอความร่วมมือหอกระจายข่าวในทุกหมู่บ้าน ใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในมาตรการห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาด และผลกระทบจากการเผา รวมทั้งมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมแล้ว 277 ราย แยกเป็นสาธารณสุข 25 ราย ป่าไม้ 184 ราย จราจร 68 ราย เปรียบเทียบปรับ 82 ราย เป็นเงิน 34,800 บาท แยกเป็นสาธารณสุข 12,600 บาท ป่าไม้ 2,500 บาท จราจร 19,700 บาท (ข้อมูลวันที่ 21 มี.ค.63) โดยเป็นมาตรการที่สำคัญที่จะป้องปราบผู้ที่จะกระทำผิดให้เด็ดขาด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image