จากกรณีที่เมืองพัทยานำกำลังเจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา และกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ลงพื้นที่บริเวณอาคารริมทะเล “บ้านสุขาวดี” หมู่ 2 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อติดประกาศหมายผลการอุทธรณ์และประกาศคำสั่งของเมืองพัทยา กรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะของ “บ้านสุขาวดี” ซึ่งได้มีการจัดทำประโยชน์และการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่จำนวน 1 อาคาร ขนาดเล็ก 2 อาคาร บริเวณที่ดินสาธารณะริมทะเลขนาดใหญ่จำนวน 11 ไร่ ริมทะเล โดยไม่ได้รับอนุญาตและบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นปัญหาเรื้อรังมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้นายช่างตรวจเขตทำการปิดประกาศแจ้งผลการอุทธรณ์คำสั่งเมืองพัทยากรณีที่ทาง “บ้านสุขาวดี” ในนาม บริษัท เฮลธ์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ที่ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ว่า คำสั่งเมืองพัทยาไม่ชอบด้วยกฎหมาย สร้างความไม่เป็นธรรมและภาระแก่บริษัทฯ ด้วยที่ดินที่มีการระบุว่าเป็นที่สาธารณะนั้น เป็นที่ดินที่งอกจากโฉนดของทางบริษัทฯซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีผลให้ทางบริษัทฯมีกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินนั้น และปัจจุบันยังคงเป็นข้อพิพาทระหว่างการขอออกโฉนดที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ
ขณะที่อาคารทั้งหมดสามารถดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่หนังสืออุทธรณ์ดังกล่าวพบว่าเจ้าของอาคารมีผู้ลงนามในหนังสือคำอุทธรณ์ในการยื่นร้องต่อคณะกรรมการจำนวน 2 รายนั้น หนังสือไม่ปรากฏการประทับตราสำคัญของทางบริษัทฯแต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นการอุทธรณ์ที่ไม่มีผลผูกพันกับบริษัทฯจึงไม่เป็นผู้อุทธรณ์ที่ถูกต้อง และผู้ร้องทั้ง 2 มิใช้ผู้รับคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา
พร้อมกันนี้ ได้ปิดหมายประกาศคำสั่งแบบ ค.7 ที่ลงนามโดยนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เพื่อให้ทำการรื้อถอนอาคารดังกล่าวภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งหากพ้นกำหนดแล้วไม่มีการดำเนินการใดๆ เมืองพัทยาก็จะเข้าทำการรื้อถอนเอง ซึ่งหมายดังกล่าวครบกำหนดตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา และเมืองพัทยากำหนดระยะเวลาที่จะเข้าทำการรื้อถอนอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 เมษายนนั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 เม.ย.2563) นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา สั่งการให้นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา นำเจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา และกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่บริเวณอาคารริมทะเล “บ้านสุขาวดี” อีกครั้ง โดยครั้งนี้มีการขนกำลัง พร้อมอุปกรณ์รถแบ๊กโฮ รถบรรทุก และเครื่องมือหนักเต็มอัตรา เพื่อเตรียมดำเนินการรื้อถอนอาคารตามกำหนดการ โดยมีตัวแทนจากทางบ้านสุขาวดี สื่อมวลชนจากแขนงต่างๆ เข้าร่วมสังเกตการณ์เป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่าแผนในการรื้อถอนอาคารในส่วนของอาคาร A, B และ C โดยในส่วนของอาคาร A นั้นเป็นอาคารขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นอาคารโครงเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 18.30x 55.30 เมตร จำนวน 1 หลัง และป้ายโครงสร้างเหล็กขนาด 10×13 เมตร จำนวน 2 ป้าย ถือเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่รุกล้ำที่ดินสาธารณะ ขณะที่อาคาร B และ C นั้น ซึ่งเป็นอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 35×40 เมต รจำนวน 1 หลัง และอาคาร ค.ส.ล. ขนาด 5×15 เมตร จำนวน 1 หลัง บริเวณริมทะเลที่ได้มีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายในการเว้นระยะจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูงขึ้นในระยะ 20 เมตรนั้น ปรากฏว่าสุดท้ายเมืองพัทยายังไม่สามารถดำเนินการรื้อถอนอาคารรุกล้ำที่สาธารณประโยชน์ได้ตามแผนการที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีกรณีดังกล่าวมีนายอมรฒิพัฒน์ ภูบาล ซึ่งระบุว่าเป็น ผอ.องค์กรตรวจ สอบภาครัฐ เอกชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ได้ยื่นเอกสารสำเนาหนังสือแจ้งคำสั่งศาลปกครองระยองที่ทาง “บ้านสุขาวดี” ในนาม บ.เฮลธ์ฟู้ดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองระยอง กรณีระบุว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรีที่ไม่รับการอุทธรณ์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทั่งศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่วินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอื่น
นายเกียรติศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับกรณีของบ้านสุขาวดีที่มีปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะนั้น ในวันนี้ได้มีการนำกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือเพื่อเตรียมดำเนินการอย่างเต็มกำลังตามกำหนดการซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฏหมาย แต่ปรากฏว่าทางตัวแทนขององค์กรตรวจสอบภาครัฐได้ยื่นหนังสำเนาคำสั่งศาลปกครองระยองที่ทาง “บ้านสุขาวดี” ในนาม บ.เฮลธ์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยระบุว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรีที่วินิจฉัยไม่รับการอุทธรณ์นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลได้มีคำสั่งให้ทุเลาจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอื่น
“กรณีดังกล่าวทางเมืองพัทยาก็คงต้องปฏิบัติตามและน้อมรับตามคำสั่งของศาลปกครอง โดยจะมีการยกเลิกภารกิจในการรื้อถอนอาคารจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นจากศาล อย่างไรก็ตาม หนังสือที่นำมาแสดงเป็นเพียงสำเนา เมืองพัทยาจึงจะนำหนังสือดังกล่าวไปแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.บางละมุง ขณะที่คำสั่งของศาลปกครองดังกล่าวเป็นการคุ้มครองในส่วนของตัวอาคารทั้ง 3 หลัง และเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ขณะที่กรณีของแนวเขตที่ดิน และแนวเขตถนนสาธารณะประโยชน์นั้น เมืองพัทยาได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและรังวัดเป็นมีแนวเขตและผังที่ดินอย่างชัดเจนแล้ว ดัง นั้นจึงได้มีการขุดเจาะผิวถนนตามแนวเขตเพื่อปักเสาคอนกรีตขนาด 2 เมตรเพื่อกันแนวไว้บางส่วน ก่อนจะนำกำลังและยกเลิกภารกิจดังกล่าว”
มีรายงานเพิ่มเติมว่าการทวงคืนที่ดินสาธารณะ “บ้านสุขาวดี” ถือเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ และได้ติดตามกระแสมาอย่างต่อเนื่องว่าภาครัฐจะดำเนินการสำเร็จและสามารถทวงคืนที่ดินสาธารณะได้สำเร็จตามที่ประกาศแจ้งไว้หรือไม่ หลังจากปล่อยปะละเลยให้มีการบุกรุกที่สาธารณะมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายเมืองพัทยาก็ไม่สามารถบริหารจัดการและบังคับใช้กฎหมายกับผู้บุกรุกได้แต่อย่างใด
ขณะที่อีกกระแสระบุว่าการปิดหมายคำสั่งรื้อถอนอาคารแบบ ค.7 ของ “บ้านสุขาวดี” ที่เมืองพัทยาได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา และมีกำหนดระยะเวลาให้ทาง “บ้านสุขาวดี” ดำเนินการรื้อถอนภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดไปตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนนั้น พบว่า หลังครบกำหนดเมืองพัทยากลับไม่เข้าดำเนินการรื้อถอนตามขั้นตอน แต่กลับรอระยะเวลาการรื้อถอนมาเป็นวันที่ 22 เมษายน ซึ่งเลยกำหนดมาถึง 13 วันจนกระทั่งมีคำสั่งทุเลาจากศาลปกครองระยอง จนไม่สามารถทำการรื้อถอนอาคารตามแผนที่กำหนดไว้ได้ จึงเป็นอันที่จะต้องรอการดำเนินการกันต่อไป และก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าการทวงคืนที่ดินสาธารณะประโยชน์ที่เมืองพัทยาระบุว่ามีหลักฐานครบถ้วน และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจังนั้นจะสำเร็จและเป็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อไหร่