เตรียมไล่รื้อ ร้านกาแฟดัง “โมอาย@เขาค้อ”จนท.รุดตรวจพบป้าย ‘ปิดกิจการชั่วคราว’

เตรียมไล่รื้อ ร้านกาแฟดัง “โมอาย@เขาค้อ” จนท.รุดตรวจพบป้าย ‘ปิดกิจการชั่วคราว’

วันที่ 4 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย ศปป.4 กอ.รมน., พยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้, สจป.ที่ 4 พิษณุโลกพร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ นำโดย พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หน.ชป.ศปป.4 กอ.รมน.และนายอัครชัย อาสุ ผอ.สจป.ที่ 4 พิษณุโลก ภายใต้การอำนวยการของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้/ผอ.ศนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า และพลโทเรืองสิทธิ์ มิตรภานนท์ ผอ.ศปป.4 กอ.รมน. ได้ลงพื้นที่อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

เพื่อตรวจสอบร้าน”โมมาย@เขาค้อ”ร้านกาแฟชื่อดัง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าริมทางหลวงหมายเลข 12 หมู่ที่ 7 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อเตรียมบังคับคดีขับไล่เจ้าของและบริวารร้านกาแฟดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่พิพาท หลังจากมีคำพิพากษาตัดสินแล้วทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมไปแล้ว พร้อมตรวจสอบว่ามีคดีนี้มีการยื่่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาหรือไม่

อย่างไรก็ตามในการตรวจสอบร้านโมอาย@เขาค้อของคณะเจ้าหน้าที่ พบว่าร้านดังกล่าวปิดกิจการชั่วคราว โดยภายในอาคารยังมีทรัพย์สินและอุปกรณ์ประกอบอาชีพแต่ไม่พบผู้ประกอบการหรือดูแลแต่อย่างใด

Advertisement

นอกจากนี้ยังพบว่ามีประกาศปิดให้บริการชั่วคราวโดยแจ้งลูกค้าว่า จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เพื่อลดการแพร่เชื้อของไวรัสทางร้านโมอาย@เขาค้อ ขอปิดกิจการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.63 ถึงวันที่ 16 เม.ย.63 และจะกลับมาเปิดบริการในวันที่ 17 เม.ย.63

ทั้งนี้พ.อ.พงษ์เพชรแจ้งว่า คดีนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้วฉะนั้นจึงต้องเร่งบังคับคดี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับนายทุนรายอื่นๆ และเพื่อยับยั้งการบุกรุกป่าบนเขาค้อ

Advertisement

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคดีดังกล่าวพนักงานอัยการหล่มสักเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวรวิทย์ สินส่งสุข ข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 โดยฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินซึ่งมิได้ได้มาตามกฎหมายที่ดิน อันเป็นป่าบริเวณทางหลวงหมายเลข 12 หมู่ที่ 7 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ โดยก่อสร้างอาคารถาวร 1 หลังและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆบนเนื้อที่ 3 งาน 48 ตารางวาโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาศาลจังหวัดหล่มสักมีคำตัดสินพิพากษาลงโทษจำเลย ซึ่งให้การปฏิเสธในเบื้องต้น แต่กลับคำให้การรับสารภาพในภายหลัง ศาลพิพากษาจำคุกจำเลย 6 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 3 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และสั่งให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินที่เกิดเหตุ

ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างถึงมติครม.วันที่ 18 มกราคม 2509 ได้กันออกจากพื้นที่ป่าและไม่มีสภาพป่าเป็นป่าถาวร จำเลยรับมอบการครอบครองที่ดินมาจากเจ้าของเดิมมิได้เป็นผู้ก่อสร้างแผ้วถางแต่อย่างใด พร้อมอ้างด้วยว่าจำเลยตั้งใจปฏิเสธต่อสู้คดีแต่เจ้าพนักงานป่าไม้จ.เพชรบูรณ์

ให้จำเลยรับสารภาพไปก่อนแล้วจะเข้าช่วยเหลือในการเช่าพื้นที่ จำเลยไม่มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายจึงรับสารภาพเพราะหลงผิด แต่ทั้งนี้อุทธรณ์ศาลวินิจฉัยยกคำร้องจำเลย ส่วนกรณีจำเลยอุทธรณ์ขอลดโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีสิ่งแวดล้อม มีคำพิพากษาลดโทษจำเลย จากโทษจำคุก 3 เดือนให้ลงโทษปรับ 10,000 บาทและให้รอลงอาญา 2 ปี โดยการคุมความประพฤติจำเลย 1 ปี

ต่อมานายนครินทร์ มูลจันทร์ อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการร้านโมอาย@เขาค้อ ซึ่งเข้าไปติดต่อจำเลยหลังทราบว่าเลิกประกอบกิจการและได้ไปจดทะเบียนการค้าใช้ชื่อร้านโมอาย@เขาค้อ รวมทั้งยื่นขออนุญาตใช้ที่ดินกับทางทสจ.เพชรบูรณ์ แต่ได้รับแจ้งว่าที่ดินทับซ้อนกับแปลงที่ถูกดำเนินคดีไม่สามารถดำเนินการได้จึงเสนอเรื่องไปยังกรมป่าไม้ โดยนายนครินทร์อ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายวรวิทย์จำเลยคดีนี้และไม่ได้เป็นบริวารหรือผุ้แทนจำเลย จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นซึ่งมีคำสั่งบังคับคดีก่อนหน้านี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 6

จนศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าที่เกิดเหตุเป็นป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 143 ผู้ให้จะอ้างการครอบครองขึ้นใช้ต่อแผ่นดินมิได้ ผู้ร้องย่อมไม่อาจยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษว่า มิใช่บริวารหรือผู้แทนของจำเลยได้เช่นกัน ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องมานั้นขอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ฯเห็นพ้องอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image