รื้อกำแพงโบสถ์ ‘วัดจมน้ำ’ ซ่อม หลังถูกคลื่นจากเรือนำเที่ยวพัดพัง คาด 2 เดือนเสร็จ

วัดจมน้ำ

รื้อกำแพงโบสถ์ ‘วัดจมน้ำ’ ซ่อม หลังถูกคลื่นจากเรือนำเที่ยวพัดพัง คาด 2 เดือนเสร็จ

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่วัดจมน้ำ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองบาดาล ซึ่งเป็นวัดวังก์วิเวการามหลังเก่า (วัดหลวงพ่ออุตตมะ) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ (Unseen Thailand) ชาวมอญบ้านวังกะ ได้ช่วยกันนำเครื่องมือมาสกัดกำแพงโบสถ์จมน้ำของวัด ที่ถูกกระแสลมและคลื่นจากเรือนำเที่ยวพัดพังเสียหายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่อีกครั้ง

ทั้งนี้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนวชิราลงกรณ ลดลงจนสามารถลงไปเดินได้ จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการซ่อมแซม อีกทั้งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการซ่อมแซมจะทำให้กำแพงอุโบสถในส่วนที่เหลืออาจได้รับความเสียหายจนยากแก่การบูรณะซ่อมแซม โดยกำแพงที่ต้องซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้มีความยาวประมาณ 15 เมตร สูง 10 เมตร โดยยังคงใช้วัสดุที่เป็นอิฐมอญในการก่อสร้างเหมือนเดิม โดยก่อนหน้านี้ทางกรมศิลปากร ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญลงดูพื้นที่พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการซ่อมแซมอุโบสถ แก่ พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม และคณะกรรมการวัด เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน

ในส่วนของการบูรณะซ่อมแซมทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ พระมหาสุชาติ และคณะกรรมการวัด ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงินของวัดส่วนหนึ่ง ในส่วนที่เหลือจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการทำบุญ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ในการก่อสร้าง เช่น อิฐมอญ หิน ทราย เหล็ก ปูนซีเมนต์ โดยชาวบ้านออกแรงช่วยการในการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ประชาชนและผู้ที่ต้องการร่วมทำบุญในการซ่อมแซมโบสถ์เก่าวัดจมน้ำ สามารถติดต่อได้โดยตรงที่ พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม

Advertisement

สำหรับโบสถ์หลังดังกล่าว ก่อสร้างขึ้นในปี 2479 พร้อมวัดวังก์วิเวการาม เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระหยกขาว พระพุทธรูปสำคัญของวัด โดยพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) อดีตเจ้าอาวาส พระเกจิชื่อดังของชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวมอญในประเทศไทยและประเทศพม่า โดยการก่อสร้างเกิดจากความร่วมมือของชาวอำเภอสังขละบุรี ทั้งคนไทย คนกะเหรี่ยง และคนมอญในสมัยนั้น โดยหลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง โดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น หินทราย จากริมแม่น้ำแควน้อย ต่อมาในปี 2527 ภายหลัง กฟผ.ได้ทำการปิดเขื่อนเขาแหลม (เขื่อนวชิราลงกรณ) ทำให้น้ำท่วม จึงได้มีการย้ายชุมชนและวัด ขึ้นมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ด้วยความงดงามของวัดที่ตั้งอยู่กลางน้ำ และความไม่เหมือนใคร ทำให้ในเวลาต่อมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ยกให้วัดจมน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว UNSEEN THAILAND โดยในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวนั่งเรือมาท่องเที่ยวและชมความงดงามและแปลก ของโบสถ์แห่งนี้จำนวนหลายแสนคน

ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561 กำแพงโบสถ์ได้ถูกกระแสลมแรงและคลื่นจากเรือนำเที่ยว พัดจนผนังด้านทิศเหนือของโบสถ์แห่งนี้ได้พังลงมา โดยเบื้องต้นมีความยาวเพียง 5-7 เมตร ทางพระมหาสุชาติฯ ได้พาชาวบ้านนำไม้ไผ่มาผูกเพื่อยึดผนังโบสถ์ในส่วนอื่น เพื่อป้องกันการพังเพิ่มขึ้น เพื่อรอการซ่อมแซมในช่วงที่ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลง เพื่อรักษาและอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอสังขละบุรี ให้อยู่คู่ชุมชนชาวมอญสังขละบุรีต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image