‘เพนกวิน’โผล่ปราศรัยที่อุบลฯ ร่วมกับคณะอุบลปลดแอก
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 22 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณศาลหลักเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
มีการจัดกิจกรรม โดยกลุ่มคณะอุบลปลดแอก ชาวอุบลไม่ทนเฉย นำโดยว่าที่ร้อยตรีฉัตรชัย แก้วคำปอด,นายวิศรุต สวัสดิวร , นางสาวธนัชชา พบลาภและนางสาวภัทราภรณ์ สุขเสริม ร่วมกับและเยาวชน นักเรียน นักศึกษาประชาชน ประมาณ 200 คน เพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา ยกเลิก สว.และให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการชู 3 นิ้ว ผูกริบบิ้นและโบสีขาวเป็นเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการพร้อมทั้งจัดตั้งโต๊ะเชิญชวนร่วมลงชื่อเสนอการร่างฉบับรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อปลดล็อก และแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไปสู่ฉบับของ ประชาชนออกแบบโดยสภาร่างรัฐธรรมนู ที่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนภายใต้แคมเปญ “50,000 ชื่อ ร่วมรื้อ ร่วมสร้าง ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ”จัดทำโดย iLaw ร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมาย 50,000 รายชื่อให้ครบโดยเร็วที่สุด
การจัดกิจกรรมเริ่มต้นด้วยแกนนำได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยเรื่องปัญหาของการศึกษาปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวปัญหาการทำงานของรัฐบาลและรัฐมนตรีของรัฐบาลความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศรวมถึงประเด็นต้องการการยกเลิกรัฐธรรมนูญในปัจจุบันที่ไม่ใช่เพื่อประชาชนที่แท้จริง แต่เป็นกลุ่มชนชั้นปกครองที่ได้ประโยชน์ซึ่งสังคมทุกส่วนต้องการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นระยะเวลา 6ปีกว่าแล้วที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้ รัฐบาลทหาร แม้มีการเลือกตั้งแต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญภายใต้คสช.และกลุ่มคนที่มาจากพวกเดียวกันที่ยังเป็นรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการคุกคามประชาชนเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนอกจากนี้ได้ตั้งเวทีจัดกิจกรรม“เด็กพูด…ผู้ใหญ่ฟัง” ร่วมอภิปราย/แลกเปลี่ยน และรับฟัง เกี่ยวกับเรื่อง, เผด็จการในโรงเรียน (ระเบียบความรุนแรง) หลักสูตร /เนื้อหาที่ต้องนำสมัยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา,การเมืองกับเยาวชน,การปฏิรูปการศึกษาที่นักเรียนต้องมีส่วนร่วม,การคุกคามเยาวชน,กฎโรงเรียนและกฎหมาย,ความเหลื่อมล้ำ/การคุกคามทางเพศ
ต่อมานายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.)ตอนนี้กระแสที่จะแก้รัฐธรรมนูญกำลังมาแรงทางพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลก็กระโดดลงมาเพื่อที่จะแก้รัฐธรรมนูญ
พ.ต.อ.ภัทรพล โพธิอะ ผกก.สภ.เมืองอุบลราชธานีได้เข้าชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมให้สวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาดของโรคCOVID-19 และให้ผู้ชุมนุมใช้ความระมัดระวังในการชุมนุมเพราะยังอยู่ภายใต้การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเพื่อไม่ให้เข้าข่ายทำผิดกฎหมายโดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมารักษาความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตั้งแต่ก่อนจะมีการชุมนุมเริ่มขึ้น จนกระทั่งกลุ่มผู้ชุมนุมสลายตัวซึ่งเหตุการณ์ผ่านไปด้วยความเรียบร้อยโดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวาย
