เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ จ.เชียงราย ว่า เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง กองทัพภาคที่ 3 ยังคงมีการสนธิกำลังออกลาดตระเวณตามช่องทางธรรมชาติ และพื้นที่จุดเสี่ยงตลอดแนวชายแดนติดแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อย่างต่อเนื่อง และเป็นไปอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการทะลักเข้ามาของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งราษฎรชาวเมียนมาที่ยังคงมีความพยายามในการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยข้ามลำน้ำสายและผ่านเข้ามาตามช่องทางที่ปลอดเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศเมียนมายังพบการแพร่ระบาดอย่างหนักและพบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงเกรงว่ากลุ่มคนเข้าที่มาโดยผิดกฎหมายเหล่านี้จะนำเชื้อแพร่สู่คนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย หรือเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของประเทศไทย เหมือนเช่นกรณีพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากหรือจังหวัดกาญจนบุรี
นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการฝึกซ้อมแผนเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ กรณีการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) รวมทั้งหมดประมาณ 200 คน เข้าร่วมการฝึกซ้อม ว่า จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองชายแดนก็จริง แต่การป้องกันโควิด-19 ได้ทำกันมาตั้งแต่ต้น เจ้าหน้าที่ทหารปกป้องชายแดนไม่ให้มีการลักลอบการข้ามแดนเข้ามาข้างใน ตำรวจฝ่ายและปกครองก็ตั้งด่านกัดกันอย่างเข้มข้น จนทำให้จังหวัดเชียงรายไม่พบผู้ติดเชื้ออีกเลย
นายประจญกล่าวว่า ขณะที่บริเวณด่านพรมแดนก็ยังใช้คำสั่งเดิม คือต้องมีการเปลี่ยนถ่ายคนขับเป็นคนสัญชาติไทย หรือสัญชาติเมียนมาซึ่งพำนักในประเทสไทยโดยไม่กลับประเทศ โดยไม่อนุญาตให้คนสัญชาติเมียนมาขับรถเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน ซึ่งการค้าชายแดนมีปัญหาบ้างในช่วงต้น แต่ด้วยการประสานความร่วมมือทำให้การค้าชายแดนสามารถทำการค้าขายได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่สะดวกในเรื่องการข้ามแดนของประชาชนทั้งสองฝั่งเท่านั้นที่ยังไม่อนุญาตให้ข้ามไปมาได้ เพราะการป้องกันโรคถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และต้องทำอย่างจริงจังจึงจะสามารถป้องกันได้
