นักวิชาการเผย โพลประชาชน 14 จังหวัดใต้ชี้รัฐบาล “สอบตก” แก้เศรษฐกิจ รมต.ไร้ผลงาน

ประชาชน 14 จังหวัดภาคใต้ชี้รัฐบาล “สอบตก” การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐมนตรีไร้ผลงาน

ความเชื่อมั่นของประชาชน 14 จังหวัดภาคใต้ปรับตัวลดลง “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่มีการปฏิรูประเทศตามที่สัญญา รัฐมนตรีไร้ผลงาน “เผย”ราคายางพารา ปาล์มน้ำมันยังพุ่งถึงกลางปี 64

วันที่ 1 .พ.ย. ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่เปิดเผยว่าดัชนีความ เชื่อมั่นประชาชน 14 จังหวัดภาคใต้ 420 ตัวอย่าง ด้านเศรษฐกิจและสังคม เดือน ต.ค.พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือน ก.ย.

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าจากการสัมภาษณ์ประชาชนภาคใต้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 พบว่าจุดด้อยคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่มีการปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นตามที่ได้เคยกล่าวไว้ รัฐมนตรีในกระทรวงต่าง ๆ ไม่มีผลงานเด่นที่ชัดเจน การดำเนินงานของหน่วยงานราชการกลับไปสู่แบบเช้าชามเย็นยามเสมือนในอดีตก่อนปี 40 จุดเด่นมีข้อเดียว คือ การบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีมาก

“ราชการมีรายได้และสวัสดิการดีกว่าภาคเอกชนจำนวนมาก แต่การให้บริการกลับแย่ลง เป็นเพราะภาครัฐไม่มีระบบประเมินการให้บริการจากประชาชนผู้ใช้บริการเหมือนหน่วยงานเอกชน”

Advertisement

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าปัจจัยบวกคือราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ราคาทะลายปาล์มน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้พลังงานไบโอดีเซลภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ผลักดันให้ราคาทะลายปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และราคายางพาราได้ปรับตัวสูงขึ้น ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่ ตลาดกลางยางพารา จ.สงขลา พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุด 82.76 บาทต่อ กก.

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าราคายางยังคงอยู่ในแนวบวกอย่างต่อเนื่อง และสูงสุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน คาดกันว่าราคายางในประเทศจะขึ้นไปถึง กก.ละ 90 บาทในอีกไม่นาน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคายางเพิ่มสูงขึ้นมาจาก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ มีความต้องการใช้ถุงมือยางจำนวนมาก โดยเฉพาะน้ำยางข้น ที่จะนำไปใช้ผลิตเป็นถุงมือยาง ส่งผลให้น้ำยางข้นมีราคาสูงขึ้น

“ขณะที่การผลิตยางแผ่นดิบ และยางแผ่นรมควัน เศษยางมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานผลิตล้อยาง เมื่อมีความต้องการสูง แต่สิ่งที่มีอยู่จำนวนน้อยกว่าความต้องการ จึงทำให้ราคายางแผ่นมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาน้ำยางข้นเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย”

Advertisement

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่ายางพาราในตลาดมีจำนวนที่น้อยลงมาก เนื่องจากแรงงานพม่าซึ่งเป็นแรงงานส่วนใหญ่ที่รับจ้างกรีดยาง ได้เดินทางกลับประเทศพม่าในช่วงที่ประเทศไทยประกาศล็อกดาวน์ ทำให้ในปัจจุบันแรงงานพม่าอีกจำนวนมากยังไม่สามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าสภาพอากาศในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยางพารามี เวียดนาม จีนตอนใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มีฝนตกชุก เกิดน้ำท่วมขัง และมีพายุพัดผ่านหลายลูก ส่งผลให้ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดน้อยลง ในช่วงเดือน ต.ค. ซึ่งตรงกับกำหนดส่งมอบยางตามสัญญาซื้อขายที่ทำไว้ล่วงหน้า ทำให้ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ยาง และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ยังมีการเก็งกำไรเกิดขึ้นในประเทศ จนเกิดความกังวลว่าผลผลิตยางพาราจะไม่เพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของตลาดต่างประเทศ”

“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 63 ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ยังคงอยู่ในระดับ 80 กว่าบาทต่อกิโลกรัม และอาจจะดีดตัวไปถึง 100 บาทต่อกิโลกรัมได้ และราคาจะทรงอยู่เช่นนี้อย่างน้อยไปจนถึงกลางปี 64 แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งช่วงนั้นราคายางจะเริ่มตกลงตาม เนื่องจากความต้องการถุงมือยางได้ลดน้อยลง”

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าในขณะที่รายจ่ายด้านการท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากช่วงเดือน ต.ค.มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ในวันที่ 13 ต.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และวันที่ 23 ต.ค. ซึ่งเป็นวันปิยมหาราช ทำให้ประชาชนภาคใต้ส่วนหนึ่งได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยใช้สิทธิ์จากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนที่ได้รับสิทธิ์จากโครงการ “คนละครึ่ง” และเริ่มจับจ่ายใช้สอยกันตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค. มียอดใช้จ่ายสินค้าอุปโภค – บริโภคแล้วกว่าพันล้านบาท

“ภาระหนี้สินที่สูงขึ้นเกิดจากผลพวงในช่วงล็อกดาวน์ ผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องหยุดกิจการทำให้เกิดมีหนี้สิน และในปัจจุบันกิจการที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้มีรายได้ลดลงเป็นอย่างมาก จึงมีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ภาระหนี้สินเพิ่มพูนสูงขึ้น”

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ปรับตัวลดลง อาจเป็นเพราะความกังวลกับสถานการณ์การเมือง การชุมนุมของคณะราษฏรและกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้อง 3 ข้อ ทำให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยได้ออกมาเคลื่อนไหว ส่งผลต่อสังคมเริ่มมีความคิดต่างและเกิดการแบ่งแยกทางสังคม อาจจะเกิดการปะทะกันได้ หากเหตุการณ์บานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้”

“ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีการปรับตัวลดลงตลอดระยะเวลา 10 เดือน คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่ารัฐบาลพยายามออกโครงการต่าง ๆ มากมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก แต่กลับไม่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้เลย ถึงแม้โครงการต่าง ๆ ที่ออกมา เป็นโครงการที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง”

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าการดำเนินงานและการขับเคลื่อนโครงการยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีพอ และไม่สามารถตอบโจทย์ของผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ประกอบการและประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการและไม่ได้รับสิทธิ์ ยังมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีการเข้าร่วมโครงการ จึงควรให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรถเคลื่อนที่คอยให้บริการ และช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง

“ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือ ค่าครองชีพร้อยละ 25.40 รองลงมาราคาสินค้าสูงร้อยละ 22.80 และการเมืองร้อยละ 13.10 ปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก คือ ค่าครองชีพ รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง”ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image