ผัวประสาทกำเริบ หลอนหนักอ้างมีคนพรากเมีย-ลูก คว้าค้อนทุบหัว จุดไฟเผาซ้ำ
เมื่อกลางดึก วันที่ 5 พฤศจิกายน ร.ต.อ.จำรัส ศรีหาตา รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครพนม รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้บ้านราษฎร บ้านโพนสวรรค์ หมู่ 2 ต.คำเตย อ.เมืองนครพนม จึงประสานรถดับเพลิง อบต.คำเตย และรถดับเพลิง อบต.ขามเฒ่า พร้อมกับ พ.ต.อ.พลาเดช เพ็ชรหว้าโง๊ะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้กำกับ สภ.เมืองนครพนม พ.ต.ท.คำดี เฮียงบุญ รอง ผกก.สอบสวน กู้ภัยศรีสัตตนครพนม กู้ภัยลำโขงเฟรนด์ชิพ กู้ชีพ อบต.คำเตย รุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุห่างถนนทางหลวงชนบท นพ.2010 สายขามเฒ่า-หนองดินแดง ห่างวัดจอมศรีประมาณ 60 เมตร พบบ้านปูนชั้นเดียว ถูกเพลิงโหมไหม้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงฉีดน้ำสกัดให้อยู่ในวงจำกัด ป้องกันไม่ให้ลุกลามไปยังบ้านใกล้เคียง เพราะปลูกแบบหลังคาเกยกัน และทราบจากชาวบ้านว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ศพอยู่ในกองเพลิงด้วย โดยใช้เวลานาน 1 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ สิ่งของเครื่องใช้ อาทิ พัดลม ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด
ต่อมา นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หลังทราบรายงานจึงเดินทางมาพร้อมกับ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม นายพรต ภูมิภักดิ์ ปลัดจังหวัดฯ นายสมลักณ์ ยกน้อยวงศ์ นายอำเภอเมืองนครพนม พ.ต.อ.หญิง จิรนันท์ ธนะสิงห์ ผกก.พิสูจน์หลักฐาน แพทย์เวรโรงพยาบาลนครพนม และนายไพศาล เคนจันทร์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคำเตย(อบต.) ร่วมสมทบตรวจที่เกิดเหตุ
บริเวณกลางบ้านพบศพผู้ตาย ถูกเศษซากไม้ทับถมรวม 2 ศพ ทราบต่อมาว่าชื่อนางอานนท์ สีดาวงศ์ อายุ 48 ปี ใกล้กันพบศพ ด.ช.เอกราช โทปะ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนบ้านชะโนด ซึ่งเป็นลูกชายของนางอานนท์ ทั้งสองถูกไฟเผาไหม้ดำเป็นตอตะโกคาซากกองเพลิง เจ้าหน้าที่จึงเก็บหลักฐานอย่างละเอียด
ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายพันธ์ โทปะ อายุ 50 ปี สามีของนางอานนท์ หลังก่อเหตุได้ถูกเพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ช่วยกันล็อกตัวอยู่กลางหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมาควบคุมตัวไปสอบสวนยัง สภ.เมืองนครพนม
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายพันธ์ผู้ต้องหามีอาชีพก่อสร้างทั่วไป ส่วนนางอานนท์เป็นลูกจ้างคัดหินสวยงามส่งขาย มีลูกด้วยกันเป็นชาย 3 คน จากคำให้การของชาวบ้านทราบต่อมาว่านายพันธ์ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับประสาทมานานกว่า 10 ปี ต้องทานยาจิตเวชเป็นประจำ บางครั้งก็มีอาการคลุ้มคลั่งทุบตีลูกเมียทำลายข้าวของ จนต้องนำตัวไปรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลจิตเวชนครพนม ระยะหนึ่ง จนอาการดีขึ้นแพทย์จึงอนุญาตให้กลับมาอยู่กับครอบครัว โดยกำชับให้ทานยาอย่างต่อเนื่องห้ามขาด
ก่อนเกิดเหตุนายเอกชัยลูกชายคนที่สองเล่าว่า คืนวันที่ 4 พฤศจิกายน พ่อเกิดอาการขาดยา เพราะไม่ยอมไปรับยาตามแพทย์นัดนานหลายเดือน โดยไม่ยอมนอนเดินไปมาอยู่ในบ้านตลอดทั้งคืน และมีอาการตาขวางๆ รุ่งเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ปล่อยให้นายพันธ์อยู่บ้านเพียงลำพัง กระทั่งเย็นนางอานนท์ก็กลับมาหุงหาอาหารให้ครอบครัว ส่วน ด.ช.เอกราชก็เพิ่งกลับมาจากโรงเรียน
ขณะที่นางอานนท์กำลังปัดกวาดบ้านอยู่นั้น นายพันธ์คว้าค้อนปอนด์ที่ใช้ทุบแผ่นปูนซีเมนต์ฟาดไปที่ศีรษะหนึ่งครั้ง จนร่างนางอานนท์แน่นิ่งไป ด.ช.เอกราชเห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาช่วยแม่ ก็ถูกนายพันธ์ผู้เป็นพ่อใช้ค้อนฟาดไปที่ใบหน้า จากนั้นใช้ผ้าห่มมาปกคลุมร่างเมียกับลูก ก่อนจะจุดไฟเผาบ้านของตนเองจนไฟลุกโชน
พยานเล่าต่อว่าเห็นนายพันธ์ผู้ก่อเหตุ เดินออกมาจากบ้านหยิบจอบที่วางอยู่พาดไว้ที่บ่า แล้วเดินมาเจอนางละคร บัวลา อายุ 59 ปี ที่มีบ้านอยู่ติดกัน กำลังนั่งคัดหินสวยงามอยู่หน้าบ้าน นายพันธ์ก็ใช้จอบหมายฟาดไปที่ศีรษะ นางละครเห็นก่อนจึงยกแขนป้องกันจนหักสองท่อน แล้วนายพันธ์ก็สติแตกเดินถือจอบไล่ตีชาวบ้านตามท้องถนน จนชาวบ้านต้องช่วยกันรุมตัวตัวไว้ได้
สอบปากคำนายพันธ์ผู้ต้องหาถึงสาเหตุที่ต้องฆ่าลูกและเมีย อีกทั้งยังเผาบ้านของตัวเอง ซึ่งนายพันธ์อยู่ในอาการเหม่อลอยบอกว่าจะมีคนมาเอาลูกเมียไปอยู่ด้วย จึงจำเป็นต้องฆ่า พยานยังเล่าต่ออีกว่าปกตินายพันธ์เป็นคนรักครอบครัวมาก ตั้งแต่มีอาการทางประสาทก็เริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไป เวลาคลุ้มคลั่งจะทุบตีลูกเมียประจำ แต่ก็ไม่รุนแรงอะไร เพิ่งจะกำเริบหนักถึงขั้นฆ่าแล้วเผาลูกเมียตายคากองเพลิงดังกล่าว
ด้านการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.นครพนม กล่าวว่าจะต้องเข้ามาเยียวยาและให้กำลังใจ ตอนนี้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูระเบียบในการช่วยเหลือ ขณะที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็มีระเบียบในการช่วยเหลืออยู่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ต้องเข้ามาดูแลช่วยเหลือเช่นเดียวกัน
ด้านคดี พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม เปิดเผยว่า ผู้ต้องให้การรับสารภาพแล้ว จึงต้องสอบปากคำในรายละเอียดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และส่งศพผู้ตายทั้งสองไปที่นิติเวชโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ชันสูตรว่าตายจากสาเหตุใด เช่น เสียชีวิตการถูกทำร้าย หรือจากถูกเพลิงไหม้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายชิงดวง ยังแก้ว อายุ 55 ปี พี่ชายของผู้ต้องหา เล่าว่าน้องชายมีอาการทางประสาทนานกว่าสิบปี และไม่ได้ดื่มเหล้าหรือเสพยา ส่วนสาเหตุเกิดจากการขาดยานานหลายเดือน และเพิ่งจะไปรับยาจากโรงพยาบาลจิตเวชเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนนายเอกชัยลูกชายคนที่สองเล่าว่า ขณะเกิดเหตุตนพาป้าเข้าไปในเมืองนครพนม เลยรอดจากการถูกพ่อทำร้าย หากอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร รู้สึกเสียใจมากๆที่ต้องสูญเสียแม่กับน้องชายในคราวเดียวกัน