เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ศูนย์ประสานงานการพัฒนาโคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา “หมอแหยง “ นายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครราชสีมา และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขในฐานะผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.นครราชสีมา หมายเลข 3 และหัวหน้า “กลุ่มรักษ์โคราช” เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อประชาสัมพันธ์ แนะนำตัวและชี้แจงนโยบายการเมืองสีขาวและการจัดตั้งสภาประชาชน ตอบโจทย์การปฏิรูปและป้องปรามการทุจริตงบประมาณปีละ 4,000 ล้านบาท ต้องบริสุทธิ์โปร่งใสและเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนนำเสนอปัญหาความต้องการในพื้นที่ในกรอบงบประมาณอำเภอขนาดเล็ก 30 ล้านบาท อำเภอขนาดกลาง 40 ล้านบาท อำเภอขนาดใหญ่ 50 ล้านบาท และอำเภอขนาดใหญ่พิเศษ 100 ล้านบาท และสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้จัดสรรงบลงสู่พื้นที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“ถ้าพี่น้องประชาชนเห็นชอบและยึดตามนโยบายต้องการเห็นมิติใหม่ของการเมืองสีขาว ตนก็ได้กลับเข้ามาบริหาร อบจ. อีกครั้ง หากเปลี่ยนใจที่เกิดจากปัจจัยตามที่ประชาชนหลายอำเภอระบุมีการแจกเงินให้ผู้สนับสนุน ระดับหัวหน้า 5,000 บาท ผู้ประสานงาน 3,000 บาท และประชาชน 500 บาท จนสะพัดทั้งตำบล เพื่อระดมมวลชนมาฟังการปราศรัยแต่ชาวบ้านไม่ต้องการเป็นพยานจึงมาแจ้งให้ตนรับทราบและการใส่ร้ายป้ายสีกล่าวหา “หมอแหยง” ถูก กกต.ตัดสิทธิเป็นผู้สมัคร “หมอแหยง” ถอดใจหรือโดนซื้อตัว และทุจริตงบจัดสร้างหอดูดาว อบจ. ปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ ขอให้ กกต. ช่วยสอดส่องดูแลให้ทั่วถึงด้วย แต่ตนไม่หวั่นไหวพร้อมเดินหน้าสู้ เพื่อกำจัดสภาผู้รับเหมากินเงินทอน โดยใช้สภาประชาชนแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จ เพื่ออนาคตที่ดีของชาวโคราช” นายแพทย์สำเริง กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ระพีพงษ์ จิรพัฒนาลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.สนง.กกต.จ.) นครราชสีมา ให้สัมภาษณ์ว่า ความคืบหน้าการร้องกล่าวหา น.พ.สำเริงมีคุณสมบัติต้องห้ามการเป็นผู้สมัครนายก อบจ. เนื่องจากยังไม่ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามพยาน หลักฐานที่ปรากฏรอ กกต.กลาง วินิจฉัยชี้ขาดกำหนดก่อนวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ส่วนเรื่องร้องการแจกเงินยังไม่มีการร้องเข้ามาแต่อย่างใด และกรณีผู้สมัครนายก หมายเลข 3 ระบุพฤติการณ์แจกเงินให้มาฟังการปราศรัย กกต.มิได้นิ่งนอนใจได้ดำเนินการคู่ขนานทำหนังสือเชิญ “หมอแหยง” มาให้ข้อมูลพร้อมจัดชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข้อมูลทางลับ สำหรับประชาชนที่มาแจ้งเบาะแสถือเป็นพลเมืองดี ทุกอย่างเป็นความลับ ทั้งนี้การป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือและช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย เพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม
